หลังจากที่หัวเว่ยเปิดตัว Huawei Mate 20 Series ไปถึง 4 รุ่น แต่วันนี้ทาง Whatphone ก็มี 3 รุ่นหลักที่กำลังจะวางจำหน่ายในประเทศไทยมาเปรียบเทียบความต่างให้ชมกันครับ จะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย!
ดีไซน์ตัวเครื่อง
Huawei Mate 20 และ Huawei Mate 20 X : ทั้งสองรุ่นมาในดีไซน์จอติ่งหยดน้ำที่ความละเอียด FHD+ รวมถึงมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่องเหมือนกัน โดยรุ่นเมท 20 มาด้วยหน้าจอ LCD IPS ขนาด 6.53 นิ้ว และรุ่น X มาด้วยหน้าจอ OLED ขนาด 7.2 นิ้ว และทั้งสองตัวมาพร้อมลำโพงคู่แบบสเตอริโอให้เสียงดังกระหึ่มแต่ของ 20 X จะดังกว่าและมีมิติที่มากกว่าเพราะตัวเครื่องขนาดใหญ่และมีลำโพงที่ด้านบนตัวเครื่อง (Mate 20 จะใช้ลำโพงที่ด้านล่างตัวเครื่องกับลำโพงสนทนาตรงกล้องหน้า)
Huawei Mate 20 Pro : เจ้าตัวนี้จะพิเศษกว่าใครด้วยการใช้หน้าจอ OLED แบบโค้งขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด 2K+ แบบคมชัดขั้นสุด รวมถึงมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ(ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่องแล้ว) และมีระบบสแกนใบหน้าแบบ 3D พร้อมเซ็นเซอร์มากมายเพื่อการถ่ายภาพแบบ 3D Live Emoji สมจริงกว่าที่เคย ทำให้ติ่งกว้างกว่า 2 รุ่นที่กล่าวไปข้างต้น แถมยังมีลำโพงคู่สเตอริโอที่ตัวหนึ่งแอบซ่อนไว้ในพอร์ต USB-C และมีอีกตัวที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง(ใกล้กล้องหน้า)
และในส่วนของ Huawei Mate 20 Pro และ Huawei Mate 20 X นั้นถูกออกแบบแผงกระจกด้านหลังสลับเลเยอร์สีเพื่อสร้างผิวสัมผัสที่แวววาวภายใต้แสงไฟ เผยผิวสัมผัสแบบพิเศษที่ช่วยป้องกันรอยนิ้วมือและทนทาน
กล้องถ่ายภาพ 3 ตัวจาก Leica
ต่อมาในส่วนของกล้องถ่ายภาพของ Huawei Mate 20 Series ทั้ง 3 รุ่นมีกล้องหลังสามตัวมุมกว้างจาก Leica เหมือนกัน แต่ก็มีความต่างอยู่เล็กน้อย ดังนี้
Huawei Mate 20 : มาพร้อมกับเลนส์ RGB 12 MP ที่ถูกออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพได้ทุกสถานการณ์ เก็บทุกเฉดสีได้ครบสมบูรณ์แบบ ส่วนเลนส์ Telephoto 8 MP จะช่วยโฟกัสภาพถ่ายระยะไกลให้คมชัดเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม (พลัง Hybrid Zoom 3X ไม่เสียความละเอียด) และสุดยอดเลนส์ Leica Ultra Wide Angle 16 MP ช่วยเก็บภาพทิวทัศน์และภาพสไตล์มาโครได้สุดประทับใจ
Huawei Mate 20 Pro และ Huawei Mate 20 X : ทั้งสองรุ่นใช้สเปคกล้องหลังที่เหมือนกัน โดยมาพร้อมกับเลนส์ RGB 40 MP ถูกออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพได้ทุกสถานการณ์ เก็บทุกเฉดสีได้ครบสมบูรณ์แบบ ส่วนเลนส์ Telephoto 8 MP จะช่วยโฟกัสภาพถ่ายระยะไกลให้คมชัดเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม (พลัง Hybrid Zoom 5X ไม่เสียความละเอียด) และสุดยอดเลนส์ Leica Ultra Wide Angle 20 MP ช่วยเก็บภาพทิวทัศน์และภาพสไตล์มาโครได้สุดประทับใจ
และทั้งสามรุ่นนั้นมาพร้อมกับโหมด AI-Painting ที่มีการทำงานอัตโนมัติเพียงแชะเดียวของระบบ AI สมองกลที่สามารถแยกแยะภาพสถานการณ์ได้มากกว่า 1500 แบบ และจับภาพได้ถึง 25 โหมด สามารถแบ่งจับเก็บทุกสัดส่วนในภาพเดียวได้แม่นยำ, โหมดกลางคืน ช่วยลดความสั่นไหวของภาพ (Huawei AIS) ชดเชยแสงให้คมชัดแม้ในที่แสงน้อย ปรับสมดุลฉากที่มีคอนทรานสต์สูงให้ได้ภาพชัดเจน คุณภาพสูงในทุกสถานการณ์ และโหมด AI Cinematography บันทึกภาพยนตร์ได้เหมือนผู้กำกับชื่อดังทั้งแสง สี และฉากที่ใช้ AI ในการประมวลผลแบบ Real Time พร้อมตัดต่อได้ทันทีด้วยฟีเจอร์ AI Video Editor
แบตเตอรี่และระบบชาร์จ
จะไม่พูดถึงเรื่องของแบตเตอรี่คงไม่ได้เพราะซีรี่ส์ Mate นั้นเน้นการใช้งานแบบยาวนานโดยเฉพาะ และเนื่องจากทั้ง 3 รุ่นนั้นมีขนาดหน้าจอและความละเอียดหน้าจอที่แตกต่างกัน ทำให้ทางหัวเว่ยต้องใส่เทคโนโลยีชาร์จและขนาดของแบตเตอรี่มาคนละแบบ ดังนี้
Mate 20 รุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานได้เต็มวัน พร้อมรองรับระบบ SuperCharge ที่ทำให้ชาร์จไวไฟกว่าปกติ ทางหัวเว่ยเคลมว่าสามารถชาร์จไฟตั้งแต่ 0 – 58% ได้ภายใน 30 นาที
Mate 20 Pro รุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,200 mAh ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานได้เต็มวัน พร้อมรองรับระบบ SuperCharge 2.0 ที่ทำให้ชาร์จไวไฟกว่าปกติมาก (หัวเว่ยเคลมว่าชาร์จจาก 0 – 70% ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น) แถมยังรองรับระบบชาร์จไร้สายแบบเร็ว 15W มาตรฐาน Qi และตัวเครื่องยังสามารถจ่ายไฟให้กับเครื่องอื่นได้อีกด้วยfhด้วยเทคโนโลยีWireless Reverse Charging)
Mate 20 X และรุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ใช้งานยาวนานได้ถึง 2 วัน รวมถึงสามารถเล่นเกมส์แบบเปิดจอต่อเนื่องได้มากกว่า 6 ชั่วโมง พร้อมรองรับระบบ SuperCharge ที่ทำให้ชาร์จไวไฟกว่าปกติ
สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 3 รุ่น
หน่วยประมวลผลสุดแรง : ครั้งแรกของโลกกับ AI ในชิปเซ็ต Kirin 980 ขนาด 7 nm เพิ่มสมรรถนะความเร็วและแรงแบบไม่มีสะดุด แถมช่วยประหยัดพลังงานเพื่อการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น ขับเคลื่อนด้วยระบบ CPU และ GPU จึงช่วยให้สมาร์ทโฟนทำงานได้อย่างเป็นระบบด้วยความเร็วที่มากกว่า ผสานด้วยเทคโนโลยี NPU ที่ช่วยรองรับการประมวลผล AI และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในส่วนเฉพาะเจาะจงให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดไปพร้อมกัน และยังมีกล้องหน้าความละเอียดสูง 24 MP F/2.0 เก็บภาพได้คมชัดมากว่าที่เคย
มอบประสบการณ์สุดพิเศษด้วยระบบปฏิบัติการ Android Pie 9.0 ที่ครอบทับด้วย EMUI 9.0 เวอร์ชั่นล่าสุดให้ใช้งานสะดวกด้วย Gesture แบบใหม่ พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสุด
รองรับ PC Mode ต่อออกจอนอกแบบไร้สายเพื่อทำงานได้อย่าง Professional หรือจะเป็นการฉายภาพพรีเซนเทชั่น เกม หรือวิดีโอไปยังจอรับขนาดใหญ่ได้ทันที4และยังให้คุณสามารถส่งข้อความหรือโทรออกได้แบบส่วนตัว
รองรับ Huawei Hivision บอกข้อมูลแคลอรี่ของอาหารได้, Huawei Hitouch with AI Shopping แค่ถ่ายรูปแล้วสัมผัสก็สามารถบอกข้อมูลของภาพเหล่านั้นได้ อาทิ ยี่ห้อกระเป๋า ราคา, สถานที่ เป็นต้น และ Huawei Share 3.0 แค่วาง Huawei Mate 20 Series เข้ากับอุปกรณ์ที่รองรับ NFC ก็สามารถแชร์ข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
ตารางเปรียบเทียบสเปคแบบละเอียดของ Huawei Mate 20 Series
สรุปแล้วเลือกรุ่นไหนดี?
เลือก Huawei Mate 20 หากคุณเป็นคนที่งบประมาณมีจำกัด แถมยังได้กล้องหลัง 3 ตัวที่มาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง รวมถึงดีไซน์แบบไร้ขอบ น้ำหนักเบา รวมถึงยังได้สเปคระดับเรือธงเร็วแรงไม่แพ้รุ่นอื่น
เลือก Huawei Mate 20 Pro หากคุณเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยีขั้นสุดในปี 2018 (สแกนใบหน้า 3D, สแกนนิ้วบนหน้าจอ, ระบบชาร์จเร็วแบบสุดยอด และหน้าจอ OLED แบบโค้งสวยสดความละเอียดสูง) แบบจัดเต็มมาให้ครบครันในรุ่นนี้แล้ว แถมยังเทพด้วยกล้องหน้าและกล้องหลังมุมกว้างรุ่นล่าสุดจาก Leica
เลือก Huawei Mate 20 X หากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกมส์ ใช้งานหนัก ๆ หน้าจอใหญ่ไร้ขอบในขนาดที่จับถือได้ไม่ใหญ่จนเกินไป เน้นแบตเตอรี่ทน มีระบบระบายความร้อน รองรับปากกา M-Pen (วางจำหน่ายแยก) สุดคุ้มต้องรุ่นนี้เลยครับ
*หมายเหตุ : Porsche Design | Huawei Mate 20 RS มีสเปคเหมือนกับ Huawei Mate 20 Pro ทุกอย่าง ยกเว้นราคา ความจุ และวัสดุงานประกอบที่ต่างแตกต่างกัน (จึงไม่ได้นำมาเปรียบเทียบเทียบในบทความนี้)