Fitbit Charge 3 เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำหรับรุ่นนี้เป็นฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นที่ 3 แล้ว โดยมีการปรับปรุงหน้าจอที่ดีขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 7 วัน และฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายอีกเพียบ
ฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นนี้ได้รับความนิยมมากที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดพรีออเดอร์ทางออนไลน์อย่างท่วมท้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเก่าที่ใช้ฟิตบิทอยู่แล้ว และต้องการเปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ ซึ่งมียอดจองและได้รับความนิยมมากกว่า Fitbit Versa สมาร์ทวอชรุ่นที่ 2 จากฟิตบิทเสียอีก ซึ่งฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นที่ 3 จากฟิตบิทนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลย
Special Edition มาพร้อมสาย Frost White Sport
Fitbit Charge 3 จะมี 2 แบบให้เลือก โดยจะเป็นรุ่นธรรมดาและรุ่น Special Edition ทางทีมได้รับรุ่น Special Edition มาทดสอบ โดยจะมีสายซิลิโคนสีขาวเพิ่มเติมเข้ามา ในชุดจัดจำหน่ายจะมีอุปกรณ์ดังนี้ นาฬิกา Charge 3, สายซิลิโคนสีขาว 3 เส้น (สายหลักและสายขนาดสั้นและยาว), สายซิลิโคนสีดำ 3 เส้น (สายหลักและสายขนาดสั้นและยาว), อะแดปเตอร์ชาร์จ และคู่มือการใช้งาน
ดีไซน์หรูหรา สวยงาม ตัวเรือนบางลง
ตัวเรือนทำจากอะลูมิเนียมที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับอากาศยานที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบา หน้าจอ Grayscale OLED แบบสัมผัส กระจก Gorilla Glass 3 ตัวเรือนบางลงจากรุ่นที่แล้ว ไฟพื้นหลัง Backlit ปรับความสว่างอัตโนมัติ ช่วยให้มองเห็นจอได้ชัดเจนไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงไหน ออกกลางแจ้งก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
การสั่งงานโดยหลักจะเป็นสั่งงานผ่านการสัมผัสหน้าจอและมีปุ่มสำหรับย้อนกลับที่ด้านข้างตัวเครื่อง ซึ่งปุ่มที่ว่านี้ก็เป็นแบบสัมผัสเช่นเดียวกัน โดยเมื่อตัวเรือนมีการรับรู้ว่าสัมผัสแล้วจะมีการสั่นที่ตัวเรือนเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบรับหรือรับรู้ว่ามีการสัมผัสแล้ว
วัดอัตราการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมง
ด้านหลังตัวเรือนจะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง และมีขั้วทองแดงสำหรับใช้งานกับอะแดปเตอร์ชาร์จเพื่อทำการชาร์จไฟให้กับตัวฟิตเนสแทรคเกอร์
ด้วยสาย Frost White Sport ของรุ่น Special Edition จะมีรูระบายอากาศเยอะกว่า เวลาใส่นานๆ จะรู้สึกสบายมากกว่า แต่สายธรรมดาก็ไม่ใช่ว่าจะรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เพียงแต่ตัวสายจะทึบกว่าการระบายอากาศเลยทำได้ดีน้อยกว่า และในฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นนี้มี relative SpO2 Sensor หรือ เซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์มาให้ด้วย ที่สามารถต่อยอดเพื่อการติดตามข้อมูลสุขภาพเชิงลึก เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (sleep apnea) ในอนาคตได้
สำหรับการเปลี่ยนสายในรุ่นนี้ทำได้ง่ายกว่ารุ่นที่ 2 เพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ด้านหลัง ตัวสายก็หลุดออกมาพร้อมเปลี่ยนแล้ว และใส่สายใหม่เข้าไปก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ตัวสายจะเข้าไปกับตัวล็อคเองอัตโนมัติ
ติดตามการเคลื่อนไหว ใส่ออกกำลังกาย วัดคุณภาพการนอนหลับ เพื่อบ่งบอกสุขภาพ
ก่อนเริ่มใช้งาน Fitbit ทุกรุ่น จะต้องทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนก่อน ซึ่งจะทำงานร่วมกับแอพพลิเคชัน Fitbit สามารถดาวน์โหลด Google Play Store สำหรับ Android และ App Store สำหรับ iOS ซึ่งเจ้าฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นนี้ก็เช่นเดียวกัน และเมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว แอพพลิเคชั่นก็จะทำการซิงค์ข้อมูลการเคลื่อนไหวและออกกำลังกายต่างๆ รวมอยู่ภายในแอพพลิเคชัน
การทำงานหลักๆ แน่นอนว่าจะต้องเป็นการติดตามการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นก้าวเดิน จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะมีการวัดตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีการแจ้งเตือนเมื่อเรานั่งนิ่งนานเกินไป ซึ่งพนักงานทั่วไปมักจะนั่งทำงานเพลิน ไม่ค่อยมีการลุกเดินหรือขยับ ตรงนี้ก็อาจจะเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดบ่า ปวดคอ ปวดไหล่ได้
การออกกำลังกายก็มีการรองรับหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, เดิน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, เวทเทรนนิ่ง, โยคะ ฯลฯ ทั้งนี้เราสามารถตั้งค่าเพื่อเลือกรูปแบบออกกำลังกายเป็นปุ่มลัดได้ สำหรับรุ่นนี้ไม่มี GPS ภายในตัว หากต้องดูความเร็วและเส้นทางในการวิ่งหรือออกกำลังกาย จะต้องทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและนำไปออกกำลังกายด้วยกัน ซึ่งเราสามารถดูระดับการออกกำลังกายว่าการออกกำลังกายของเราอยู่ในระดับไหน Fatburn, Cardio เพื่อให้เราพัฒนาและปรับปรุงการออกกำลังกายให้ตามเป้าหมายของเราได้
Fitbit เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดตามการนอนหลับได้ดีและละเอียด มีการแสดงผลเป็นกราฟแท่ง โดยจะมีสัญลักษณ์ดาวเมื่อนอนหลับได้นานตามเป้าหมายเหมือนกับการออกกำลังกาย ให้เราได้รู้ว่าในการนอนหลับ 1 คืน เราจะมีช่วงหลับลึก, หลับตื้น, ช่วง REM และมีการตื่นกลางดึกบ่อยแค่ไหน ซึ่งเจ้าฟิตเนสแทรคเกอร์รุ่นนี้ก็ทำได้เช่นเดียวกัน และด้วยความที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้ใส่นอนหลับได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัด
- Light Sleep ช่วงหลับตื้น มักจะเกิดขึ้นตลอดทั้งคืน มีความสำคัญต่อความจำ, ความรู้ และการฟื้นฟูของร่างกายที่ใช้งานมาตลอดทั้งวัน คิดเป็นร้อยละ 50-60 ของการนอนหลับ
- Deep Sleep ช่วงหลับลึก จะเป็นการช่วงที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น รวมถึงการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปจะเป็นร้อยละ 10-25 ของการนอนหลับ
- REM Sleep ช่วงหลับลึกจนฝัน เป็นช่วงสำคัญมากสำหรับการฟื้นฟูสภาพจิต และการพัฒนาด้านความจำ คิดเป็นร้อยละ 20-25 ของการนอนหลับ ระยะ REM Sleep นี้มักจะเกิดช่วงท้ายคืนหรือใกล้จะตื่นนั่นเอง
- Awake Periods ถือเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการนอนหลับ ซึ่งหากมีเกิดขึ้น 10-30 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นปกติของการนอนหลับในแต่ละคืน
แบตเตอรี่อึด ใช้เพลินๆ
อีกจุดเด่นของ Fitbit Charge 3 ก็คือ แบตเตอรี่ที่อึด โดยทาง Fitbit เคลมว่าสามารถใช้งานได้นานถึง 7 วัน ตามที่ได้ทอดสอบมา มีการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง 4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30-40 นาที เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนบ้างแต่ไม่ตลอดเวลา ก็สามารถอยู่ได้ถึง 7 วัน แบบไม่มีการชาร์จเพิ่มเลย
Fitbit Charge 3 เหมาะกับใคร?
ฟิตเนสแทรคเกอร์ Fitbit Charge 3 ดีไหม ต้องมีคำถามนี้ในใจสำหรับผู้ที่สนใจ จากการที่ทดสอบใช้งานมาแล้ว บอกได้เลยว่าตัวเรือนมีดีไซน์ที่สวย น้ำหนักเบา ทำให้ใส่ออกกำลังกายและใส่ออกไปเที่ยวได้ทุกโอกาส ตัวสายสามารถเปลี่ยนได้ ฟีเจอร์สำหรับการออกกำลังกายก็มีการรองรับหลายรูปแบบ น่าเสียดายที่ยังไม่มี GPS ภายในตัว กันน้ำ ใส่ลงว่ายน้ำได้เลย แบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวถึง 7 วัน และข้อมูลต่างๆ ในแอพพลิเคชัน Fitbit ก็มีรายละเอียดให้เพียบ ใช้งานง่ายอีกต่างหาก ใครที่กำลังมองนาฬิกาหรือสายรัดข้อมือไว้ใช้งานเป็นฟิตเนสแทรคเกอร์สำหรับติดตามความเคลื่อนไหวประจำวัน ติดตามการนอนหลับ ติดตามการออกกำลังกายอยู่ แนะนำรุ่นนี้เลย โดยรุ่น Special Edition ราคา 6,990 บาท ก็จะมีสายเพิ่ม ส่วนรุ่นธรรมดา ราคา 6,490 บาท แต่ถ้ามองหานาฬิกาที่ออกกำลังกายแบบซีเรียสไปจนถึงขั้นแอดวานซ์ ก็คงต้องมองข้ามรุ่นนี้ไป