ก่อนที่ Work from home จะกลายเป็นแบบแผนใหม่ของการทำงานในช่วงเวลานี้ หลาย ๆ องค์กรอาจคุ้นเคยกับการให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ หรือ Remote Working ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่เน้นประสิทธิภาพและผลลัพธ์ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้สามารถ Monitor และ Report ถึงกันได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ซึ่งแนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงองค์กรชั้นนำระดับโลกอย่าง Google หรือ Amazon ซึ่งมีข้อดีคือการลดเวลาในการทำงานและยังช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน และกระตุ้นให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์มากขึ้นอีกด้วย
หลายปีมานี้บริษัทต่าง ๆ เริ่มเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลของบริษัท เช่น อีเมล์ ตารางงาน หรือเอกสารต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์ส่วนตัวอย่างสมาร์ทโฟน เพื่อเปิดโอกาสให้กับ ‘การทำงานที่ยืดหยุ่น’ ทุกที่ทุกเวลา โดยผลสำรวจของบริษัทวิจัยด้าน B2B ชั้นนำอย่าง Clutch ชี้ให้เห็นว่าพนักงานมากกว่า 2 ใน 3 ใช้อุปกรณ์ส่วนตัว (ที่ผ่านการรับรองจากบริษัท) ในการทำงาน แต่มีพนักงานเพียงไม่ถึงครึ่งที่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวในการทำงาน[1] ซึ่งเป็นความจริงที่ท้าทายต่อความปลอดภัยของข้อมูลอันมีค่าของบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากความกังวลด้านความปลอดภัยแล้ว องค์กรยังอาจพบปัญหาอื่น ๆ จากการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น สเปกไม่เพียงพอต่อการทำงาน ปัญหาความเข้ากันได้กับซอฟท์แวร์ของบริษัท หรือขอบเขตในการติดตามและควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายของบริษัทและส่วนตัว เช่น ในกรณีที่อุปกรณ์เกิดการสูญหายหรือถูกโจรกรรม องค์กรสามารถสั่งล็อกหรือลบข้อมูลทั้งหมดบนอุปกรณ์เมื่อเกิดเหตุได้หรือไม่ ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว ทำให้หลายองค์กรยังตัดสินใจที่จะให้พนักงานใช้อุปกรณ์ขององค์กร ซึ่งในอดีตมีเพียงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเท่านั้น แต่ปัจจุบันด้วยรูปแบบการทำงานที่หลากหลายอย่างเช่น Remote working ดังกล่าวข้างต้น รวมถึงการเติบโตของโมบายเทคโนโลยีและคลาวด์ทำให้ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตก็เป็นอุปกรณ์ที่องค์กรต่าง ๆ จัดหาให้กับพนักงานโดยเฉพาะในระดับปฏิบัติการ (Frontline workers) ได้นำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะที่บริษัทยังคงสามารถควบคุมในเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
Galaxy XCover Pro สมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน Remote Working สำหรับทุกธุรกิจ
จากการศึกษาพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนของพนักงานระดับปฏิบัติการในหลากสาขาอาชีพ พบว่าพนักงานส่วนมากไม่สะดวกพกพาอุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้น ในขณะที่ยังต้องการอุปกรณ์ทำงานที่มีขนาดกะทัดรัดและมีดีไซน์ทันสมัยซี่งหาไม่ได้ในกลุ่มอุปกรณ์สำหรับองค์กรโดยทั่วไป จาก Customer Pain Point เหล่านี้ ซัมซุงจึงได้นำมาพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่คือ Galaxy XCover Pro เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรที่กำลังมองหาสมาร์ทดีไวซ์เครื่องเดียวที่ทำงานได้ทุกประเภท ครบครันไปด้วยโซลูชั่นสำหรับธุรกิจ และมีความยืดหยุ่นในการใช้งานในทุกสถานการณ์ เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนสำหรับยุค Remote Working อย่างแท้จริง
แม้จะมีดีไซน์ที่สวยงามพรีเมี่ยม แต่ Galaxy XCover Pro ยังมาพร้อมคุณสมบัติด้านความทนทาน ด้วยวัสดุที่ได้รับมาตรฐาน U.S. military standard MIL-STD-810G สามารถกันความร้อน การกระแทก (ผ่านการทดสอบ Drop Test ที่ระยะ 1.5 เมตร) กันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68 และยังใช้งานได้ยาวนานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ความจุ 4,050 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จเร็วได้ผ่าน USB-C หรือจะชาร์จผ่าน Pogo Pin ซึ่งเหมาะสำหรับการชาร์จอุปกรณ์จำนวนมาก
Galaxy XCover Pro มีปุ่มลัดสำหรับใช้เปิดโปรแกรมได้สองปุ่ม ซึ่งสามารถตั้งค่ารูปแบบการทำงานได้ ฟีเจอร์ที่สำคัญที่สามารถใช้งานผ่านปุ่มลัดนี้ เช่น Push-to-talk ซึ่งใช้งานแบบเดียวกับวิทยุสื่อสาร[2] หรือ การส่ง SMS ผ่านฟีเจอร์ Voice to text message เพียงกดปุ่มและพูด ระบบก็จะทำการส่ง SMS ไปยังปลายทาง[3] นอกจากนี้ยังมีระบบทัชสกรีนขั้นสูงที่รองรับการใช้งานในสภาวะเปียกน้ำหรือแม้กระทั่งในขณะที่ใส่ถุงมืออยู่
ด้านความปลอดภัย Galaxy XCover Pro มาพร้อม Samsung Knox แพลตฟอร์มด้านความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเทียบเท่าหน่วยงานความมั่นคง พร้อมระบบการยืนยันตัวตนทั้งการสแกนใบหน้าและการสแกนลายนิ้วมือ เหมาะสำหรับทุกสภาพการใช้งาน
นอกจากนี้ Galaxy XCover Pro ยังมาพร้อมโมบายโซลูชั่นจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ Infinite Peripherals, KOAMTAC, Scandit และ วีซ่า ช่วยให้การทำงานในทุกฟังก์ชั่นและทุกอุตสาหกรรมทำได้ครบ จบในเครื่องเดียว
Galaxy Tab Active Pro แท็บเล็ตพันธุ์อีด ที่พร้อมลุยในทุกสถานการณ์
หลายครั้งที่เราต้องทำงานนอกสถานที่และเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน การมีอุปกรณ์ที่สามารถพร้อมลุยไปกับเราในทุกสถานการณ์ย่อมเป็นเรื่องดี Galaxy Tab Active Pro จากซัมซุงอาจจะเป็นคำตอบให้หลายธุรกิจที่กำลังมองหาสมาร์ทดีไวซ์สำหรับการทำงานในหลากหลายสถานการณ์ตั้งแต่การออกไปประชุมพบปะลูกค้าไปจนถึงการออกไปไซต์งาน
นอกจากความทนทานและการกันน้ำกันฝุ่นในระดับเดียวกับ Galaxy XCover Pro แล้ว แท็บเล็ตรุ่นนี้ยังสามารถใช้งานได้ทั้ง Wet Mode และ Glove Mode เช่นเกียวกัน และมาพร้อมขนาดหน้าจอใหญ่ 10.1 นิ้ว แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานต่อเนื่อง 15 ชั่วโมง (7600 mAh) สามารถถอดเปลี่ยนได้ มีตัวเลือกในการชาร์จไฟผ่าน POGO Pin ได้ โดยสามารถวางลงบนแท่นชาร์จเพื่อชาร์จไฟได้เลย ไม่ต้องทำการเสียบสายต่าง ๆ และเตรียมหัว Interface ที่มีความหลากหลายและใช้ปลั๊กไฟจำนวนมากอีกต่อไป
Galaxy Tab Active Pro ยังมาพร้อมปากกา S-Pen และยังการรองรับ Samsung DeX ได้เช่นเดียวกับ Smartphone รุ่นแฟลกชิป ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ Galaxy Tab Active เข้ากับจอคอมพิวเตอร์และใช้งานแอปพลิเคชั่น ต่าง ๆ ได้ด้วยประสบการณ์แบบเดียวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ทำงานด้านการประมวลผลข้อมูลหรือจัดการเอกสารทำได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ซัมซุงยังให้ความสำคัญกับกล้องบน Galaxy Tab Active Pro โดยเป็นความละเอียดสูงพร้อมหน่วยประมวลผลที่ทรงพลัง รองรับงาน Augmented Reality ได้ ช่วยให้ธุรกิจมีทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Galaxy Tab Active Pro สามารถอ่านข้อมูล NFC ได้ในตัว ซึ่งถือว่าโดดเด่นกว่าแท็บเล็ตรุ่นอื่น ๆ ในตลาด ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น การอ่านข้อมูล การตรวจสอบบัตรพนักงาน ไปจนถึงการประยุกต์นำไปใช้เป็น Mobile Point-of-Sale หรือ mPOS เพื่อทำการรับเงินผ่านบัตรเครดิตแบบ Contactless ที่รองรับ NFC ได้ เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกและง่ายดายสำหรับร้านค้าและร้านอาหาร
สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันด้านการนำสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตสำหรับนำไปใช้งานกับธุรกิจ หรือระบบบริหารจัดการอุปกรณ์เหล่านี้ให้มีความมั่นคงปลอดภัยและกำหนดค่าการใช้งานต่าง ๆ ได้จากศูนย์กลาง สามารถติดต่อทีมงาน Samsung Business ได้ทันทีที่โทร 02-118-1000 หรืออีเมล์ b2b_thailand@samsung.com หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Samsung Business ได้ที่ https://www.samsung.com/th/business/