สำหรับใครที่ยังคิดว่า POCO X3 NFC ที่วางจำหน่ายไปเมื่อปลายปีที่แล้วยังแรงไม่พอ ปีนี้ POCO ได้ส่งรุ่น X3 Pro ออกมาอัพเกรดให้เหล่าเกมเมอร์ได้สัมผัสสมาร์ทโฟนที่แรงขึ้น ในราคาย่อมเยาเหมือนเดิม มาดูกันว่ารุ่นนี้จะแรงขึ้นมากแค่ไหน มีอะไรอัพเกรดเพิ่มเข้ามาบ้าง มาแกะกล่อง รีวิว ดูกันเลย
แกะกล่อง รีวิว POCO X3 Pro
กล่องของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังคงมาในรูปแบบสีดำที่ดูดุดัน ดีไซน์หน้ากล่องเรียบๆ พร้อมสกรีน POCO X3 Pro สีเหลืองเล็กๆ ทั้งหน้ากล่อง และข้างกล่องตัวใหญ่บนหน้ากล่อง เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- POCO X3 Pro สี Phantom Black
- อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟ 33 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- ฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- การ์ด Welcome to the POCO Family
- สติ๊กเกอร์ POCO
อุปกรณ์ในกล่องมีมาให้ค่อนข้างหลายชิ้น แต่ที่ต้องใช้จริงๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นอแดปเตอร์ สายชาร์จ และเคสใส ส่วนอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาเป็นการ์ด Welcome หรือการ์ดต้อนรับเข้าสู่ครอบครัว POCO ซึ่งเป็นข้อความจาก Kevin Qiu ดำรงตำแหน่ง Head of POCO Global และสติ๊กเกอร์ POCO ที่เราสามารถนำไปติดกับอุปกรณ์ หรือสิ่งที่เราอยากนำไปติด แต่จะเห็นได้ว่าภายในกล่องก็ยังไม่มีหูฟังมาให้ แต่ก็เชื่อว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะมีหูฟังประจำตัวสำหรับฟังเพลง หรือเล่นเกมอยู่แล้ว หากยังไม่มีก็สามารถหาซื้อได้ในราคาไม่กี่ร้อยบาท
ตัวเครื่อง ดีไซน์ และวัสดุ
ดีไซน์ของสมาร์ทโฟน POCO X3 Pro โดยรวมแล้วเหมือนกับรุ่น X3 NFC ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ภายนอกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคงจะต้องสังเกตกันที่ด้านหลัง ด้วยสีที่แตกต่างออกไป อย่าง X3 Pro ที่ด้านหลังดีไซน์แบบ Dual Texture มีทั้งผิวแบบด้าน และแบบเงาอยู่ในเครื่องเดียวกัน โดยที่ขอบทั้งสองด้านจะเป็นแถบด้าน ให้ผิวสัมผัสที่ติดมือมากยิ่งขึ้น ไม่ลื่นหลุดมือได้ง่ายๆ ส่วนแถบตรงกลางดีไซน์แบบเงา มีลวดลายเป็นเส้นเฉียง ไล่เฉดสีรุ้งเมื่อกระทบกับแสง และมีโลโก้ POCO ที่ไล่เฉดสี ต่างจากรุ่น X3 NFC ที่เป็นสีเดียว ถือเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่รุ่นนี้ทำแตกต่างออกมา
จอแสดงผลด้านหน้าแบบ DotDisplay ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว เป็นจอแสดงผลแบบ IPS LCD อัตรารีเฟรชเรทอยู่ที่ 120 Hz และอัตราการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate อยู่ที่ 240 Hz เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบเจาะรูปแล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่าง และไฟ LED สีขาวกระพริบเตือนแจ้งสถานะต่าง ของตัวเครื่องด้วย
เมื่อพลิกมาที่ด้านหลัง สิ่งที่โดดเด่นนอกจากกล้องหลัง 4 เลนส์แล้ว เรายังเห็นดีไซน์แบบ Dual Texture ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกทั้งยังเห็นโลโก้ POCO อย่างชัดเจน ตัวเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Phantom Black ไม่ได้เป็นสีดำซะทีเดียว เมื่อสะท้อนแสงจะเห็นเป็นสีดำออกโทนม่วง ดูสวยงามมาก ด้านหลังนี้ยังมีเลนส์กล้อง 4 เลนส์ พร้อมไฟแฟลชแบบ LED นูนออกจากเครื่องมาเล็กน้อย แต่หากใส่เคสที่มีมาให้ในกล่องก็ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้จากการวางบนพื้นโต๊ะ
ที่ด้านข้างซ้ายจะมีเพียงช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบ 2 ช่อง ซึ่งจะต้องเลือกว่าจะใส่ SIM2 หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD
ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปด้วยในตัว
ส่วนที่ด้านบนเราจะเห็นรูเล็กๆ 3 ช่อง ไล่จากพอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงสนทนา และถัดมาเป็นช่องลำโพงแบบสเตอริโอ
ที่ด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ถัดมาเป็นพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, ช่องไมโครโฟนรับเสียง และช่องลำโพงสปีกเกอร์ เมื่อรวมกับลำโพงที่ด้านบนของเครื่องแล้วจะให้เสียงแบบสเตอริโอแยกซ้ายขวาอย่างชัดเจน
POCO X3 Pro ประสิทธิภาพแรงสะใจ อัพเกรดมาเพื่อเล่นเกมโดยเฉพาะ
จากรุ่นก่อน POCO X3 NFC ที่ออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ มาถึง X3 Pro รุ่นนี้ได้อัพเกรดมาให้การเล่นเกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น โดยปรับเปลี่ยนทั้ง CPU และ GPU รวมไปถึงความเร็วของหน่วยความจำเพื่อให้สามารถเข้าสู่เกมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อัพเกรดระบบปฏิบัติการ Android เป็นเวอร์ชั่น 11 ใหม่ล่าสุด ทำงานบน MIUI เวอร์ชั่น 12.0.4
POCO X3 Pro มาพร้อมหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 860 บนสถาปัตยกรรมการผลิต 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.96 GHz (POCO X3 NFC ใช้ Qualcomm Snapdragon 630 ความเร็ว 2.3 GHz 8 นาโนเมตร) ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลภาพ 3D หรือ GPU Adreno 640 หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 6 GB ไปจนถึง 8 GB และที่อัพเกรดเพิ่มขึ้นมาคือหน่วยความจำ ROM จากเดิมเป็น UFS 2.1 เป็น UFS 3.1 มีความเร็วกว่าเดิม ดาวน์โหลดแอพฯ หรือเกมได้เร็วมากยิ่งขึ้น มีให้เลือกรุ่น 128 และ 256 GB สุดท้ายกับหน่วยความจำภายนอกยังคงต้องเลือกว่าจะใส่ SIM2 หรือ microSD และน่าเสียดายที่รุ่นนี้ยังคงรองรับเฉพาะเครือข่าย 4G ยังไม่รอบรับเครือข่าย 5G
ในการใช้งานทั่วไป ทั้งการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแอพฯ โซเชียล, แอพฯ แชทสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล ส่วนการเล่นเกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ Extreme หรือเกม Call of Duty Mobile ก็สามารถเปิดความละเอียดได้สูงสุด นอกจากนี้ยังมีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล หน่วยความจำให้มาสำหรับการเล่นเเกมโดยเฉพาะ และยังช่วยจัดการเรื่องสายโทรเข้า การแจ้งเตือนต่างๆ รวมไปถึงการบันทึกหน้าขอขณะเล่น และเปลี่ยนเสียงผู้เล่นได้ด้วย
ในการแสดงผลของรุ่นนี้ยังคงมี Refresh rate อยู่ที่ 120 Hz ทำให้การเลื่อนสไลด์หน้าจอ หรือการเล่นเกมแสดงผลได้ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ในด้านความเร็วในการแตะสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate ก็สูงถึง 240 Hz สามารถแตะสั่งงานได้ดั่งใจ โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ตัดสินกันในเสี้ยววินาที หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้จึงเหมาะกับการเล่นเกมโดยเฉพาะ
ในการใช้งานทั่วไป หรือการเล่นเกม ตัวเครื่องก็มีเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่มี Heat Pipe ที่ช่วยดึงความร้อนออกจากหน่วยประมวลผล ส่งผ่านไปที่แผ่น Graphite ขนาดใหญ่ ช่วยกระจายความร้อนออกจาก CPU และ GPU จึงช่วยลดอุณหภูมิลงไปได้พอสมควร จากการทดสอบเล่นเกมตัวเครื่องอาจจะอุ่นนิดๆ ถือว่าระบบความร้อนทำงานได้ค่อนข้างดี ไม่ร้อนเล่นเกมนานๆ ไม่ร้อนมือ
และผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark ทำคะแนนได้ค่อนข้างดีอยู่ที่ 479742 (POCO X3 NFC ทำได้ 280098)
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็ทำคะแนน Single core ได้ 755 และ Multi-core ทำได้ 2679 (POCO X3 NFC ทำได้ 565 และ 1777)
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ 3DMark ทำคะแนนได้ 3456 คะแนน ถือว่าทำคะแนนได้น่าประทับใจ และทำคะแนนได้ดีกว่ารุ่นก่อนพอสมควร
กล้องหลัง AI Quad Camera 48 ล้านพิกเซล
ถ้าดูจากสเป็คกล้องแล้วจะเห็นว่ากล้องของ X3 Pro ถูกลดสเป็คจาก 64 ล้านพิกเซลเหลือ 48 ล้านพิกเซล แต่สำหรับการถ่ายภาพทั่วไปแล้วทั้งสองรุ่นจะลดความละเอียดลง อย่าง X3 Pro จะถูกลดลงเหลือ 12 ล้านพิกเซล แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยรวมเอา 4 พิกเซลเป็น 1 พิกเซลเพื่อให้รับแสงได้มากขึ้น ภาพดูสว่างและสีสันสวยงามสมจริงขึ้น และยังช่วยไม่ให้ไฟล์ภาพใหญ่เกินไปอีกด้วย แต่หากต้องการถ่ายภาพที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซลก็สามารถเลือกปรับได้ในเมนูการตั้งค่า สำหรับสเป็คกล้องทั้งด้านหน้า และด้านหลังของรุ่นนี้มีเลนส์อะไรให้เราได้ใช้บ้าง มาดูกันเลย
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79 เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/2 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ระยะถ่ายใกล้สุด 4 ซม.
- กล้อง Depth sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2
ในการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Time-lapse, โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้, Slow motion มีให้เลือกตั้งแต่ 120, 240 สูงสุด 960 เฟรมต่อวินาที, โหมด Pro ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้ ทั้งค่าสปีดชัตเตอร์, ค่ารูรับแสง, ISO, White balance และสำหรับฟิลเตอร์ก็มีให้เลือกมากถึง 19 แบบ
โหมดการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ Slow motion มีให้เลือกตั้งแต่ 120, 240 สูงสุด 960 เฟรมต่อวินาที, การถ่ายภาพ Portrait ที่สามารถปรับหลังเบลอได้ตั้งแต่ f/1.0 ไปจนถึง f/16, การถ่ายภาพ Night mode, Panorama และโหมด Pro สำหรับการถ่ายภาพในโหมดปกติจะได้ที่ความละเอียดประมาณ 12 ล้านพิกเซล แต่หากต้องการความภาพความละเอียดสูงก็สามารถปรับไปได้ที่ 48M นอกจากนี้ยังมีฟิลเตอร์ให้เลือกมากถึง 19 แบบ และมีโหมด Beauty ที่ช่วยปรับรูปร่างไม่ว่าจะเป็นขา เอว ไหล่ให้เพรียวบาง และยังช่วยปรับหน้าเนียนอีกด้วย
ในโหมดการถ่ายคลิปวิดีโอกสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที และยังมีลูกเล่นในการถ่ายคลิปวิดีโอสนุกๆ ให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการถ่าย Dual Video ที่ใช้กล้องหน้า และกล้องหลังถ่ายพร้อมกัน, โหมด VLOG สำหรับถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ ประมาณ 10-17 วินาที โดยจะมีรูปแบบการถ่ายวิดีโอให้เลือก 9 แบบ
ส่วนการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าก็มีโหมด AI Portrait ที่จะละลายฉากหลังได้ด้วยกล้องเพียงตัวเดียว มีโหมดแต่งหน้าเนียน หรือโหมด Beauty ที่สามารถปรับหน้าเนียน ปรับรูปแบบใบหน้า ริมฝีปาก จมูกมาให้สำหรับสาวๆ ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD
และสำหรับการตกแต่งภาพ POCO X3 Pro ก็ได้ฟีเจอร์การเปลี่ยนท้องฟ้าให้มีเมฆ มีดวงดาว ทางช้างเผือก หรือแม้กระทั่งใส่พระจันทร์เต็มดวงให้กับภาพก็ได้ หรือจะทำให้ท้องฟ้าเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้มีพลุ หรือท้องฟ้ามีดวงดาวหมุนก็ได้เช่นกัน
ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 33 วัตต์
หมดห่วงเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ด้วยอแดปเตอร์ชาร์จเร็วที่แถมมาให้ในกล่อง กำลังไฟ 33 วัตต์ สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับรุ่นนี้ก็มีแบตเตอรี่มาให้ถึง 5160 mAh เท่ากับรุ่นก่อน สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน จากการทดสอบชาร์จจาก 1% ไปจนถึง 50% ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น และหากชาร์จไปจนเต็ม 100% ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ถือว่าชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีการชาร์จ Middle Middle Tab (MMT) ช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้นและสม่ำ
บทสรุป รีวิว Poco X3 Pro ในความเห็นของ What Phone
คงไม่ต้องอธิบายกันมากแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ที่จะเหมาะกับใคร เห็นได้จากตัวเลขการทดสอบความเร็วถือว่าทำคะแนนได้ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสเป็ค และราคาที่เปิดตัวเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท กับการใช้งานที่ลื่นไหล ทั้งการแสดงผลหน้าจอ 120 Hz และการทำงานผสานชิพประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ อัพเกรดความแรงจากรุ่นก่อนพอสมควร จะใช้งานทั่วไป หรือเล่นเกมแบบหนักๆ POCO X3 Pro ก็เอาอยู่ และสำหรับรุ่นนี้ก็ยังรองรับการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง เล่นโซเชียล แชทออนไลน์ก็ตอบสนองการใช้งานได้ทันใจ สรุปสุดท้ายในการ รีวิว ใช้งาน POCO X3 Pro รุ่นนี้ ฟันธงได้เลยว่าตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์อย่างแน่นอน
สรุปสเป็ค POCO X3 Pro
- ขนาด 165.3 x 76.8 x 9.4 มม. นัำหนัก 215 กรัม
- รองรับเครือข่าย LTE พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบแบบ Hybrid
- หน้าจอ IPS FHD+ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- แสดงผล Refresh rate 120 Hz, Touch Sampling rate 240 Hz
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 860 Octa-core ความเร็ว 2.96 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Adreno 640
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 12 for POCO
- หน่วยความจำ RAM 6/8 GB LPDDR4X, ROM 128/256 GB UFS3.1
- รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุด 1 TB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล f/2.4 AI Selfie Camera
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/2 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide 8 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล ระยะใกล้สุด 4 ซม f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth 2 ล้านพิกเซล f/2.4
- แบตเตอรี่ 5,160 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge กำลังไฟ 33 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi 2.4 และ 5 GHz แบบ 2×2 MIMO, NFC, Bluetooth 5.0
- ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
- ระบบกันละอองน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP53
- มีให้เลือก 3 สี Phantom Black, Frost Blue, Metal Bronze
- ราคาเปิดตัวรุ่น 6/128 GB ราคา 6,999 บาท, รุ่น 8/256 GB ราคา 7,999 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
