Microsoft และ Alphabet (Google) แถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ทั้งคู่เป็นบริษัทไอทีขนาดใหญ่ที่รองรับสนับสนุนการทำงานหลากหลายประเภท รวมไปถึงการทำงานจากที่บ้านด้วย
ผลประกอบการของ Microsoft นั้นน่าประทับใจ โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และกำไรเพิ่มขึ้น 44% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ ความสำเร็จนั้นเกิดจากการที่ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา Microsoft ขยับมาเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ และการทำงานนอกสถานที่ (เช่น Microsoft Office 365 ที่ไม่ยึดติดว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องไหน หรือ Microsoft Teams ที่รองรับการทำงานหลายคนและวิดิโอคอล) และคาดว่ากระแสนี้คงไม่สิ้นสุดจนกว่าเราจะกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศได้อีกครั้ง
Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เผยว่าตั้งแต่การแพร่ระบาดนั้น การปรับตัวเป็นการทำงานแบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นทำงานที่บ้านด้วยอินเทอร์เน็ทแทนการเข้าออฟฟิศ หรือการย้ายการทำงานหลายๆ อย่างจากเซิฟเวอร์ใน Datacenter ไปอยู่บน Cloud แทนนั้นพุ่งทะยานและยังไม่แผ่ว นี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมไอทีเท่านั้น โดย Microsoft ยังคงพัฒนาคลาวด์และการทำงานสำหรับทศวรรษถัดไปเพื่อรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับฝั่งธุรกิจฮาร์ดแวร์ Windows, Xbox, Surface ทำรายได้เพิ่มขึ้น 19% (กลายเป็น $13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยแม้จะไม่เผยยอดขายออกมา แต่ก็ระบุว่ายอดขาย Xbox เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 232% ด้วยกัน
หันกลับมาที่ฝั่ง Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) กันบ้าง โดยรอบนี้ทำรายได้มากขึ้นกว่าปีที่แล้ว 34% ทำให้มีรายรับ $55,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์เช่นกัน (นักวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตเพียง 25%) แม้ว่าธุรกิจของ Google จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เนื่องจากบริษัทอื่นๆ มีรายรับลดลงและลดงบโฆษณาลง การเติบโตของไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ กำลังเริ่มกลับมาเหมือนช่วงก่อนไวรัสแพร่ระบาด และเริ่มทำการโฆษณาเพื่อหารายได้กันอีกครั้ง เช่น YouTube ที่ทำรายได้มากถึง $6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และฝั่ง Google Cloud ก็ทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็นราวๆ $4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Sundar Pichai ซีอีโอของ Alphabet (และ Google) เผยว่าปีที่ผ่านมาโฟกัสไปที่การสร้างบริการที่น่าเชื่อถือเพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก เช่นธุรกิจอย่างบริการรถยนตร์ไร้คนขับที่พัฒนามาหลายปี หรือการพยายามหาทางออกให้กับการเลิกใช้ Cookies ที่ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค และหันไปใช้ FLoC แทน