เป็นระยะเวลากว่าปีครึ่งปีที่ Fitbit พัฒนาสมาร์ทแทร็คเกอร์จาก Charge 4 มาเป็นรุ่น Charge 5 ซึ่งคราวนี้มาในดีไซน์ใหม่ พร้อมกับจอแสดงผลแบบสีที่สวยงามกว่าเดิม ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจอัดแน่นอยู่ในสมาร์ทแทร็คเกอร์เรือนเล็กๆ ในเรือนเดียว มาแกะกล่องลองใช้ดูกันเลยว่ามีอะไรที่เจ๋งขึ้นกว่าเดิม
แกะกล่องลองเล่น Fitbit Charge 5
เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Fitbit Charge5 สี Lunar White / Soft Gold Stainless Steel
- สายนาฬิกาไซส์ S และ L
- สายชาร์จแบตเตอรี่
- คู่มือการใช้งาน
ภายในกล่องก็มีอุปกรณ์มาให้เท่าที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB และสายนาฬิกาไซส์ L ส่วนไซส์ S มีติดมาให้กับสมาร์ทแทร็คเกอร์อยู่แล้ว สำหรับการใช้งานครั้งแรกจำเป็นต้องเสียบสายชาร์จเพื่อปลุกการทำงานของตัวเครื่อง และควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อนใช้งาน
ตัวเรือนสี Soft Gold ทำมาจากวัสดุสแตนเลสสตีล ดีไซน์ออกมาเป็นแบบโค้งมน ลบเหลี่ยมออกทั้งหมดจาก Charge 4 รุ่นก่อน หน้าปัดเป็นจอแสดงผลแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใส มองเห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังสามารถเปิดหน้าจอแบบ Always on Display ได้ตลอดเวลา สามารถมองเห็นได้ตลอดโดยไม่ต้องยกมือขึ้น หรือแตะที่หน้าจอ แต่ก็จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มากกว่าเดิม การสั่งงานของรุ่นนี้สามารถแตะสั่งงานบนหน้าจอ ปัดซ้าย, ขวา, ขึ้น หรือลงเพื่อเลื่อนเมนูได้
ที่ด้านข้างซ้ายไม่มีปุ่มกดใดๆ มาให้ จะต้องอาศัยหน้าจอเพื่อแตะสั่งงานทางเดียวเท่านั้น จะมีเพียงเซ็นเซอร์ที่ใช้สำหรับการใช้งาน EDA Scan ทั้งด้านซ้าย และด้านขวา
ด้านหลังมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ Optical อยู่ที่ด้านหลัง โดยจะมีไฟ LED สีเขียวกระพริบเพื่อตรวจหาชีพจร พร้อมทั้งทำหน้าที่ตรววัดระดับออกซิเจนในเลือด หรือ SpO2 อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีหน้าสัมผัสเพื่อเชื่อมกับที่ชาร์จแบตเตอรี่ มีแม่เหล็กดูดเพื่อให้ยึดติดกับสายชาร์จ ป้องกันไม่ให้เลื่อนหลุดขณะชาร์จแบตเตอรี่
สายนาฬิกาของรุ่นนี้ที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Lunar White ใช้วัสดุเป็นซิลิโคน ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวล มีให้เลือกเปลี่ยนทั้งไซส์ S สำหรับผู้หญิง และไซส์ L สำหรับผู้ชาย สวมใส่ได้สบาย สำหรับการถอดเปลี่ยนสายก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ปลดล็อคสลักที่อยู่ด้านหลังแล้วดึงออก และนำสายใหม่ดันกลับเข้าไปจนดังแกร๊ก ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย จากการทดสอบใช้งานพบว่ามีน้ำหนักเบา สวมใส่ได้ตลอด 24 ชม. ใส่นอนครั้งแรกอาจจะไม่คุ้นชิน แต่หากใส่ไปสักพักก็จะปรับตัวจนชินไปเอง
เชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมดูข้อมูลโดยละเอียดด้วยแอพฯ Fitbit
บนหน้าจอของ Fitbit Charge5 สามารถแสดงผลข้อมูลต่างๆ ได้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น หากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพฯ Fitbit เพื่อดูข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้อีกด้วย โดยแอพฯ Fitbit รองรับทั้งระบบ Android และ iOS สามารถดาวน์โหลดได้จาก AppStore ได้ทันที สำหรับการใช้งานครั้งแรกเพียงแค่เสียบสายชาร์จเพื่อเปิดเครื่อง หากเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆ ที่รองรับฟีเจอร์ จากนั้นทำการเปิดแอพฯ แล้วเลือกเพิ่มอุปกรณ์ เป็นรุ่น Charge5 จากนั้นทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ ซึ่งหากมี Firmware ใหม่ก็สามารถอัพเดทได้จากขั้นตอนนี้ ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีก็พร้อมใช้งานได้ทันที
หลังจากที่เชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกา, แอพฯ, Wallet ได้ที่เมนู Gallery สำหรับการปรับเปลี่ยนหน้าปัดก็มีให้เลือกมากถึง 24 แบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบอนาล็อค ดิจิตอล หรือแบบกราฟฟิคต่างๆ ส่วนการเลือกแอพฯ ก็มีให้เลือกทั้งนาฬิกาปลุก, การออกกำลังกาย, การวัดชีพจร, การวัด SpO2 ฯลฯ แต่ไม่สามารถดาวน์โหลดแอพฯ อื่นๆ เพิ่มเติมได้เหมือนกับสมาร์ทวอชทั่วไป
ตามติดทุกการออกกำลังกายด้วย GPS
พัฒนาต่อจาก Charge 4 ที่เป็นรุ่นแรกของซีรี่ย์นี้ที่มีภาครับสัญญาณ GPS ในตัว มาถึงรุ่นนี้ก็ยังมีให้ใช้งานโดยจะช่วยให้เก็บข้อมูลระบุตำแหน่ง และเส้นทางการออกกำลังได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนอีกต่อไป สามารถออกไปวิ่ง ปั่นจักรยานได้เพียงแค่สวมใส่ Charge5 เพียงเรือนเดียว สำหรับรุ่นนี้ก็ยังรองรับการออกกำลังกายแบบพื้นฐาน 20 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, การเดิน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, เดินป่า และการวิ่งบนลู่วิ่ง ตัวเรือนมีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อตามมาตรฐาน IP68 จึงไม่ต้องกังว่าน้ำจะเข้าเครื่อง นอกจากนี้ยังอาศัยฟีเจอร์ Always on Display แสดงข้อมูลต่างๆ บนหน้าจอตลอดเวลาโดยที่ไม่จำเป็นต้องแตะหน้าจอเพื่อเรียกดู
สำหรับใครที่ชอบลืมกดเลือกออกกำลังกาย รุ่นนี้ก็มีฟีเจอร์ SmartTrack สามารถตรวจจับการออกกำลังกายให้โดยอัตโนมัติ ในระหว่างการออกกำลังกาย สามารถตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจได้ตลอดเวลา ซึ่งระบบจะคำนวนหา Heart rate zone ให้โดยอัตโนมัติ หากอัตราการเต้นของหัวใจเกินระดับความปลอดภัยก็จะมีการแจ้งเตือนทันที เพื่อไม่ให้ออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป
เก็บข้อมูลด้านสุขภาพตลอด 24 ชม.
นอกจากการเก็บข้อมูลด้านออกกำลังกายแล้ว ยังเก็บข้อมูลในด้านสุขภาพต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตัวเรือนก็มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถใส่ได้ตลอดทั้งวันไปจนถึงเวลานอน ซึ่งอาศัยเซ็นเซอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิบนผิวหนัง โดยเซ็นเซอร์ทั้งหมดจะเข้ามาเก็บข้อมูลทั้งการเดิน ระยะทาง อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเผาผลาญพลังงาน การเดินขึ้นบันใด ระยะเวลาการนอน สามารถดูข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้ที่ตัวนาฬิกา ซึ่งจะมีบอกข้อมูลต่างๆ บอกคร่าวๆ ซึ่งหากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกก็สามารถดูได้บนหน้าจอสมาร์ทโฟน ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะถูกซิงค์เข้าไปที่สมาร์ทโฟนเมื่อเปิดแอพฯ Fitbit นอกจากนี้ยังมีให้เราเลือกตั้งเป้าว่าจะเดินวันละกี่ก้าว หรือหากนั่งนานเกินไปก็จะมีระบบการแจ้งเตือนให้เคลื่อนไหว คอยกระตุ้นเพื่อให้เราแอคทีฟตลอดเวลา และเมื่อทำได้ตามเป้าหมายก็จะมีรางวัลเป็น Badge มอบให้ในแอพฯ สามารถเปิดดูได้ตลอดเวลา
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่นก่อนก็มีการตรวจจับระดับออกซิเจนในเลือด หรือ SpO2, การตรวจจับอุณหภูมิบนผิวหนัง สอดคล้องกับสถานะการณ์ Covid-19 ในตอนนี้ ซึ่งหากระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ หรือมีไข้สูงก็สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ทันที ส่วนฟีเจอร์ EDA Scan (Electrodermal Activity Scan) ที่จะเข้ามาช่วยจัดการความเครียดได้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเพียงแค่เลือกเมนู EDA Scan แล้วใช้นิ้วแตะที่ด้านข้างตัวเรือนทั้งสองด้านเพื่อตรวจจับการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด โดยวัดจากการเปลี่ยนแปลงของต่อมเหงื่อบริเวณนิ้วมือ กระบวนการนี้จะใช้เวลา 3 นาที ในระหว่างการวัดนี้จะตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ซึ่งผลจากการทดสอบสามารถลดความเครียดได้จริง อาจจะเป็นเพราะการตรวจวัดนี้จะต้องอยู่นิ่งๆ เป็นเวลา 3 นาที ในช่วงระยะเวลานี้จะทำให้เราผ่อนคลาย คลายความกังวล และมีสมาธิมากยิ่งขึ้น ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถทำได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
นอกจากการติดตามการออกกำลังกาย การนอน การเคลื่อนไหวต่างๆ แล้ว ยังมีบริการที่น่าสนใจอย่าง Fitbit Premium ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 6 เดือน สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิ
สรุปการใช้งาน Fitbit Charge 5
Fitbit Charge 5 เป็นสมาร์ทแทร็คเกอร์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่รักสุขภาพ และต้องการผู้ช่วยในการเก็บข้อมูลทางด้านสุขภาพต่างๆ ทั้งการออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การเดิน การกินอาหาร การนอน โดยมาในรูปแบบของความพรีเมี่ยมของดีไซน์ วัสดุ และการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้ตลอด 24 ชั่วโมง สวมใส่ได้สบาย ไม่อึดอัด มีฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครัน เหมาะกับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน มีระบบการแจ้งเตือนสายโทรเข้า หรือแจ้งเตือนแอพฯ ต่างๆ ซึ่งก็น่าเสียดายที่ยังไม่รองรับภาษาไทย ส่วนระยะเวลาการใช้งานหากเปิดหน้าจอ Always on Display และเปิดใช้งานทุกอย่างจะใช้งานได้ประมาณ 3 วัน แต่หากปิด Always on Display ก็สามารถใช้งานได้ประมาณ 7 วัน อย่างไรก็ดี Fitbit Charge 5 ก็เหมาะกับผู้ใช้งานที่ไม่ได้ต้องการฟีเจอร์การออกกำลังกายที่จริงจังมากนัก ซึ่งหากไลฟ์สไตล์ของคุณตรงกับรุ่นนี้ บอกได้เลยว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
สามารถสั่งซื้อ Charge 5 ในราคา 7,690 บาท ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ Fitbit.com และมีวางจำหน่ายที่ B2S, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Dotlife, JD Central, Lazada, PowerBuy, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, Shopee, Super Sport และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์
สรุปสเป็ค และจุดเด่น
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.04 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัส
- หน่วยความจำบันทึกข้อมูลรายละเอียดการเคลื่อนไหวได้ 7 วัน และบันทึกข้อมูลโดยรวมได้ 30 วัน
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 วัน
- เซ็นเซอร์ตรจจับความเคลื่อนไหว 3 แกน, เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2), เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนัง, เซ็นเซอร์ EDA Scan
- เชื่อมต่อด้วยระบบ Bluetooth LE
- มี NFC สำหรับใช้งาน Fitbit Pay
- กันน้ำลึก 50 เมตร
- มีระบบสั่นเตือนด้วยมอเตอร์
- รองรับระบบปฏิบัติการ Android 8.0 ขึ้นไป และ iOS 12.2 ขึ้นไป
- ใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น Fitbit
- ราคา 7,690 บาท