เมื่อปี 2017 ทาง Tesla ได้เปิดตัวรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าของตัวเองเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า Tesla Semi คาดว่าจะพร้อมผลิตและวางจำหน่ายได้ในปี 2019
แม้จะตั้งเป้าผลิตให้ได้ภายในปี 2019 แต่ก็เกิดปัญหาในกระบวนการผลิต และล่าช้าอย่างมาก ยิ่ง COVID-19 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสารกึ่งตัวนำที่ขาดแคลนไปทั่วโลก หรือการทำงานที่บ้านที่ไม่สะดวกเหมือนกับการนั่งประชุมคุยในห้องจริงๆ จนทำให้กระบวนการพัฒนาและผลิตล่าช้าไปจากที่ตั้งเป้าเอาไว้ถึงสามปีด้วยกัน
PepsiCo จัดว่าเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักใจถึงรายๆ แรกๆ ของ Tesla Semi เพราะหลังจากเปิดตัวในปี 2017 ทางบริษัทก็ทำการจองรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้านี้หลักร้อยคันในทันที แต่แค่มีเงินก็ยังไม่ได้ของอยู่ดีเพราะกว่าจะได้จริงๆ ก็ปลายปี 2022 เข้าไปแล้ว
ทาง Tesla ระบุว่ารถบรรทุกไฟฟ้า Semi นี้มีมอเตอร์ทำงานสี่ตัวด้วยกัน ทำให้สามารถเร่งความเร็วได้ 95 กม ต่อชั่วโมงได้ภายใน 20 วินาที และการชาร์จไฟหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ 800 กิโลเมตรด้วยกัน ราคาเริ่มต้นต่อคันอยู่ที่ $150,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีบรรดาบริษัทแนวหน้าของสหรัฐจำนวนมากต่อคิวรอกันอีกหลายร้อยคัย ไม่ว่าจะเป็น Walmart, FedEx ถ้าบริษัทหรือบุคคลไหนต้องการไปเข้าคิวรอซื้อตอนนี้ น่าจะต้องรออีกเป็นปีเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเมื่อเป็นรถบรรทุก เทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่สำหรับรถยนตร์บุคคลทั่วไปก็ไม่เพียงพอ ทำให้ทาง Tesla ต้องเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปหลายอย่าง และเทคโนโลยีเหล่านี้อาจจะไปปรากฏในรถยนตร์รุ่นอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย
สำหรับเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาก็มีตั้งแต่เทคโนโลยีสำหรับรถบรรทุก ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันการหมุนรถไปชนกับตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกมา หรือระบบจ่ายไฟที่แรงดันไฟ 1,000 โวลต์ (สามารถจ่ายไฟได้ 1 Megawatt) หรือระบบที่นำพลังงานที่เกิดจากการเหยียบเบรกไปปั่นไฟอีก รวมไปถึงคลัชอัตโนมัติสำหรับการขับรถบนทางหลวง
เนื่องจากการจ่ายไฟเข้ารถบรรทุกใช้พลังงานมากมหาศาล (ระดับ 1 MegaWatt) ทำให้ Tesla เองต้องพัฒนาระบบหล่อเย็นใหม่ที่จะลดความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างจ่ายไฟเข้าแบตเตอรีด้วย และเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้กับ Cybertruck ที่วางจำหน่ายปลายปีหน้าด้วยน
แม้ว่า Tesla จะพยายามดันรถบรรทุกไฟฟ้าให้กลายเป็นอนาคตแห่งการขนส่ง แต่ความล่าช้าสามปีนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่นานจนผู้ผลิตรถบรรทุกรายอื่นๆ พยายามนำเสนอเทคโนโลยีของตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Diamler, Volvo, Peterbilt, BYD ล้วนแต่พยายามเข้ามาแย่งพื้นที่วงการรถบรรทุกไฟฟ้าทั้งสิ้น รวมไปถึงรายที่แข่งกันอย่างหนักในสหรัฐอย่าง Nikola Motors เองแม้จะมีปัญหาในการทำธุรกิจ แต่ก็สามารถส่งมอบรถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจนสำเร็จไปก่อนหน้านี้แล้ว
ที่มา – The Verge