ในที่สุดเราก็มาถึงจุดนี้! จุดที่ตลาดมือถือทั้งโลกปีนี้โตเพียง 10% (1,440 ล้านเครื่อง) ลดกว่าปีที่แล้วกว่าครึ่ง โดยเฉพาะกับที่จีน เริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัวอย่างรวดเร็ว คาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้าตลาดคนใช้สมาร์ทโฟนในจีนจะสูงกว่า 700 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของโลก และส่งไม่ต่อให้ที่ 2 อย่าง “อินเดีย” ที่จะใกล้ทะลุ 200 ล้านคน! สำหรับไทยเองก็มีสัดส่วนคนใช้สมาร์ทโฟนทะลุ 81% ของประชากรทั้งประเทศไปแล้ว!
สถิติทั้งหมดนี้กำลังจะบอกว่า “มือถือสมาร์ทโฟน” เป็นอะไรที่ไร้ความเซ็กซี่ไปแล้วใช่ไหม? กำลังอยู่ในช่วงขาลงจริงไหม? ใครคิดจะมาผลิตมือถือขายจะมีแต่ตายกับตายในทะเลสีเลือดแน่ๆ! หากพูดตามเนื้อผ้าคำตอบก็น่าจะใช่!
เพราะจะว่าไปวงการมือถือก็ผ่านคลื่นลูกใหญ่มาแล้ว นั่นคือการเปลี่ยนผ่านจากฟีเจอร์โฟนมือถือปุ่มกดมาเป็นมือถือจอสัมผัสไร้ปุ่ม ซึ่ง “ไอโฟน” ถือเป็นผู้บุกเบิก นาทีนั้นทำให้แบรนด์มือถือที่ปรับตัวไม่ทันล้มลุกกันระนาว อาทิ โนเกีย, ซีเมนส์, โมโตโรล่า, แบล็กเบอร์รี่, โซนี่, และเอชทีซีก็กำลังจะเป็นรายต่อไป และล่าสุดก็คือยุคสมาร์ทโฟนโลว์คอร์สสเปคสูงที่มี “เสี่ยวหมี่” เป็นผู้นำทัพ ทำให้ตอนนี้ใครๆ ก็มีมือถืออัจฉริยะใช้กันง่ายๆ ในราคาไม่กี่พันบาท
แต่กลุ่มคนบางกลุ่มในบางบริษัทกลับคิดในแง่ดี และมองว่า หากเรารู้ว่าช่องว่างการตลาดยังมีตรงไหน กลุ่มลูกค้ายังมีความต้องการที่ไม่ได้รับการสนองอีกเท่าไหร่ เราก็สามารถที่จะส่งสินค้าที่ตรงใจให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น โอกาสนี้ผู้เขียนจึงอยากพาคุณไปรู้จักกับแบรนด์มือถือเล็กๆ สุดอินดี้ ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และสามารถสร้างสินค้ามือถือที่มีฟีเจอร์และดีไซน์เฉพาะกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มของตัวเองได้ นี่แหละที่เราเรียกว่า ค่ายมือถือสุด Niche ที่อยากแนะนำให้คุณได้รู้จักกัน
Nextbit
มือถือดีไซน์สุดเรียบนี้เกิดมาจากฝีมือล้วนๆ เริ่มแรกคือ การได้ทีมงานผู้บริหารด้านซอฟท์แวร์ที่เคยเป็นลูกหม้อเก่ากูเกิ้ลซึ่งดูแลระบบแอนดรอยด์โดยเฉพาะ และผู้ออกแบบมือถือ HTC มารับหน้าที่ออกแบบมือถือสุดเรียบเครื่องนี้ และปรากฏสู่สายตาทุกคนพร้อมออเดอร์ที่ล้นหลามได้ก็เพราะมันไปโพสต์ขายล่วงหน้าที่เว็บไซต์ระดมทุนอย่าง Kickstarter เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภายในเวลาเดือนเดียวก็ทำสถิติยอมเงินลงขันทะลุ 35 ล้านบาท
Robin คือมือถือรุ่นแรกจากบริษัท Nextbit ที่มาพร้อมกับจอสัมผัส 5.2 นิ้ว ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์รุ่นล่าสุดมาชเมลโล่ 6.0 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สมาร์ทโฟนพึงมี ได้แก่ มี NFC ระบบสแกนนิ้วมือถือที่ปุ่มเปิดปิดเครื่อง และการชาร์จที่รวดเร็ว
อย่างไรก็ดีมือถือสีพาสเทลนี้มีไฮไลท์ที่การผสานระหว่างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และพื้นที่เก็บข้อมูลในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง
หากจะกล่าวว่ามือถือเครื่องนี้มีเมโมรี่ 132 กิกฯ ก็ไม่ได้เว่อร์ไป เพราะ 32 กิกฯ อยู่ในเครื่องและอีก 100 กิกฯ คือพื้นที่ให้เก็บข้อมูลฟรีบนเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ โดยระบบการเคลื่อนย้ายไฟล์อัตโนมัติมันจะทำงานเมื่อหน่วยความจำใกล้หมด ระบบจะฉลาดพอที่จะเลือกแอพฯ ที่คุณใช้น้อยที่สุดออกไปเก็บไว้ที่คลาวด์ก่อน เพื่อให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้น จากนั้นหากต้องการเรียกแอพฯ กลับมาใหม่ ก็แค่กดที่แอพฯ นั้น แล้วเลือกรูปก้อนเมฆ
ตอนนี้รุ่น Robin สีเขียวอ่อน ออกวางจำหน่ายแล้ว เครื่องละ 11,000 บาท รีบจองก่อนที่ www.kickstarter.com การันตีส่งถึงเมืองไทยด้วย ทีมงานเตรียมส่งมือถือล็อตแรกให้กับลูกค้าที่สั่งจองภายในมกราคมปีหน้า ผลิตโดยโรงงาน Foxconn ที่แอปเปิ้ลไว้วางใจให้ผลิตไอโฟน
ดูวิดีโอจับตัวจริงของ Robin ได้ที่นี่
Blackphone
การที่ Blackphone กล้าประกาศเป้าหมายว่าจะมาแทนที่แบล็กเบอร์รี่ เพื่อเป็นมือถือที่มีความปลอดภัยสูง สำหรับการใช้งานในองค์กรใหญ่ หรือใช้กับหน่วยราชการที่ต้องการการปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับ ก็ทำให้หลายคนอยากรู้จักว่าค่ายมือถือน้องใหม่นี้เตรียมตัวมาดีพอหรือยัง?
จริงๆ แล้ว Blackphone เป็นเพียงหนึ่งในสายผลิตภัณฑ์ของบริษัท Silent Circle ผู้ที่ตั้งใจจะสร้างแพล็ตฟอร์มระบบการสื่อสารในองค์กรที่ปลอดภัยที่สุด เพราะทำทั้ง 1.ตัวเครื่อง 2.ระบบปฏิบัติการ+แอพฯ และ 3. บริการเชื่อมโยง เช่น ระบบ VPN, Cloud ด้วยตัวเองทั้งหมด ทำให้ควบคุมทุกช่องทางการสื่อสารผ่านมือถือเครื่องนี้
ซีอีโอผู้อยู่เบื้องหลังของมือถือนี้คือ อดีตนาวิกโยธินหน่วยซีลจากสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้ง Blackphone เปิดตัวรุ่นแรกกลางปี 2014 คนทั่วไปก็มองว่านี่แค่มือถือแอนดรอยด์ตัวแรงทั่วไป แต่ข้างในไม่ใช่อย่างนั้น ก็เพราะทีมงานได้นำระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มาดัดแปลงให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และตั้งชื่อว่า PrivateOS 1.1 ที่เน้นถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้งานเป็นสำคัญ ซึ่งจุดเด่นก็คือ ภายในมือถือเครื่องเดียว สามารถเลือกโหมดใช้งานได้ 2 แบบ กล่าวคือ สามารถทำตัวเองเป็นเหมือนมือถือที่มีฟังก์ชั่นของระบบปฏิบัติการเสมือนจริง (Virtual System) ในเครื่องเดียวได้ เพื่อให้ผู้ใช้แยกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้อยู่หมัด โดยเมื่อเข้าโหมดปลอดภัย การโทร และเล่นแอพฯ ต่างๆ ในเครื่อง จะถูกเข้าระบบไว้ทั้งหมด อาทิ เมื่อแอพฯ จะถูกปรับเข้าสู่ Silent Suite ซึ่งเป็นแอพฯ พิเศษที่ทีมงานสร้างขึ้นมาเอง เช่น ข้อความ (อ่านแล้วสั่งลบข้อความอัตโนมัติ) หรือแม้แต่ตอนเล่นเน็ต ถูกอย่างจะถูกเข้าระบบไว้
ปัจจุบัน Blackphone ออกมาแล้ว 3 รุ่น โดยปีนี้ออกรุ่น Blackphone2 (20,000 บาท) และ Blackphone+ ที่เป็นแท็บเบล็ต พีซี อย่างไรก็ดีผู้ที่ต้องการความปลอดภัยในการเข้ารหัสข้อมูลใน Blackphone จะต้องเสียเงินรายปีเป็นค่าบริการเสริมนี้ด้วย!
ดูวิดีโอแนะนำ Blackphone ที่นี่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ silentcircle.com
Yotaphone
มือถือจากรัสเซีย (แต่ตอนนี้มีออฟฟิศไปหลายประเทศทั่วโลก) ถือเป็นมือถือแอนดรอยด์เครื่องแรกของโลกที่มี 2 จอ คือ จอสี AMOLED ด้านหน้า และจอหมึกอิเล็กทรอนิกส์ EPD ที่ด้านหลัง นั่นก็เพราะออกมาเพื่อแก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดไวเกินไป ทำให้หงุดหงิดใจที่ไม่ได้รับข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องพกแบตสำรองติดตัวไปไหนต่อไหนให้หนักกระเป๋าด้วย
แต่ Yotaphone สามารถให้ผู้ใช้งานเลือกวิดจิทที่จำเป็นต้องใช้บ่อยๆ ไปปรากฏในจอขาวดำ เพื่อให้มันดึงข้อมูลใหม่ๆ มาแสดงได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเปิดแอพฯ ดู ทำให้เปลืองแบตน้อยลงนั่นเอง เช่น อีเมล์ นัดหมาย หรือแอพฯ แชต เป็นต้น
อันที่จริงรุ่นแรกได้ออกขายตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดี เพราะทำให้ใช้งานมือถือได้นานยิ่งขึ้น ใช้งานได้แม้ที่มีแดดจ้า อ่านนิยายได้เป็นร้อยชั่วโมง หากใช้จอขาวดำอย่างเดียว สามารถใช้ได้นานถึง 45 ชั่วโมง และตอนนี้ก็ได้เอามือถือรุ่น 2 ไประดมทุนต่อที่ Kickstarter ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีระดมทุนสำเร็จเกิดคาด 5 เท่า และตอนนี้มือถือ Yotaphone รุ่น 2 มือถือแอนดรอยด์ 4.4 จอ 5 นิ้ว ก็ได้เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! ราคาประมาณ 25,000 บาท
ดูวิดีโอโปรโมท Yotaphone รุ่น 2 ได้ที่นี่
Obi
สิ่งที่จะทำให้มือถือดีไซน์สุดเรียบเท่แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักโดยง่าย ต้องพูดถึงผู้ก่อตั้งมัน นั่นก็คือ “จอห์น สกัลลี่” อดีตซีอีโอแอปเปิ้ลที่ประจำการยาวนานกว่า 10 ปี และเป็นคนเดียวกันกับที่ไล่สตีฟ จ็อบส์ออกจากบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้น หลายทศวรรษให้หลังหนุ่มใหญ่รายนี้ก็ร่วมกับพาร์ทเนอร์ตั้งบริษัทมือถือใหม่ชื่อ Obi โดยเน้นย้ำว่ามือถือเครื่องนี้มีทุกอย่างที่วัยทีนยุคใหม่อยากได้จากสมาร์ทโฟนในราคาที่เข้าถึงได้
จุดเด่นของมือถือ Obi อยู่ที่เป็นการออกแบบจากทีมที่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีจริงๆ ในซิลิกอน วัลลีย์ สหรัฐอเมริกา ด้านหลังมือถือทุกเครื่องสลักคำว่า “ออกแบบในซานฟรานซิสโก” และเมื่อเจาะสเปคลงไปแล้วก็เห็นความพิถีพิถันในการเลือกใช้ส่วนประกอบที่ดีกว่ามือถือ OEM แบรนด์อื่นๆ อาทิ หน่วยประมวลผลก็ใช้ของ Qulacomm และ MediaTek ส่วนกล้องใช้ของโซนี่ จอกระจกใช้ของกอริล่า และระบบเสียงของดอลบี้
ตอนนี้ Obi มีมือถือออกมาเพียง 2 รุ่น คือ SF1 (ราคา 6,400) และ SJ1.5 (ราคา 8,000) ที่แม้ผลิตในอเมริกา แต่ตั้งใจจะวางขายที่เอเชีย อัฟริกา และตะวันออกกลาง โดยจะเตรียมเปิดขายที่เมืองไทยในเดือนตุลาคมนี้ด้วย
ดูวิดีโอแนะนำมือถือ Obi ได้ที่นี่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ obiworldphone.com
Lumigon
แบรนด์มือถือสุดเท่นี้ดูก็รู้ว่ามาจากยุโรป (เดนมาร์ก) เพราะดีไซน์ของตัวเครื่องมาพร้อมลายเซ็นต์ความเป็นสแกน คือ เรียบและเท่ (แต่ผลิตที่จีน) ซึ่งล่าสุดได้ไปปรากฏในฉากหนังแอคชั่นเพิ่งลงโรงอย่าง “ฮิตแมน เอเจนท์ 47” เพราะทีมงานฟ็อกซ์เห็นว่ามือถือที่เหมาะกับสายลับจะต้องมีคุณสมบัติคือ ดูหรู เท่ และไม่เกลื่อน
มือถือรุ่นแรกของ Lumigon T1 เปิดตัวเมื่อปี 2010 และปี 2012, 2014 ก็ออกรุ่นใหม่ T2, T2 HD มาอัพเกรดฟีเจอร์ โดยทุกรุ่นใช้ระบบแอนดรอยด์ทั้งสิ้น
ฟังก์ชั่นเด่นของมือถือแบรนด์นี้อยู่ที่ 2 แอพฯ ที่ติดตั้งมาให้ในเครื่อง แอพฯ แรกคือ แอพฯ รีโมท ที่เคลมว่าเป็น Universal remote ควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารอบๆ ตัวได้เกือบหมด และเก็บตู้เซฟที่สามารถเลือกเก็บรายชื่อ ข้อความ รายการการโทร รูป โน้ต แอพฯ และเว็บต่างๆ ที่เข้าโดยที่หากไม่บอกรหัส คนอื่นก็ไม่สามารถเข้าดูได้
ดูวิดีโอแนะนำ Lumigon T2 HD ได้ที่นี่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://lumigon.com
Gresso
นอกเหนือจาก Vertu และ Mobiado ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมือถือที่แพงที่สุดในโลกแล้ว คุณยังจะต้องพบชื่อของ Gresso แบรนด์มือถือจากไมอามี่นี้เป็นหนึ่งในแบรนด์มือถือที่แพงที่สุดระดับต้นๆ ของโลกด้วย!
3 คาถาที่ทีมงาน Gresso จำขึ้นใจในการสร้างมือถือรุ่นต่างๆ ของแบรนด์นี้ก็คือ ดีไซน์ต้องไฮโทค เทคโนต้องล้ำ และวัสดุที่เลือกใช้ต้องระดับพรีเมี่ยม เช่น ทองคำขาวเกรด 5 และทองคำ 18K และทุกชิ้นจะใช้ทีมงานประกอบ 1 คน/ชิ้น เพื่อดูแลทุกกระบวนการอย่างเรียบร้อย
โดยสินค้าของทีมงานมีตั้งแต่สร้างเองใหม่ หรือเอาไอโฟนมาโมให้หรูยิ่งขึ้น และสุดท้ายคือ การออกอุปกรณ์เสริม เช่น กรอบมือถือซึ่งก็ตั้งใจไว้ขายสำหรับคนใช้ไอโฟน 6 โดยเฉพาะอีกด้วย
เมื่อมีเงินซื้อมือถือไฮโซแบรนด์นี้แล้ว สิ่งที่จะได้แน่ๆ คือ การลดความกังวลใจว่าใครจะมาใช้เหมือนเรา เพราะทุกรุ่น ทุกชิ้น ทีมงานจะผลิตมาจำนวนจำกัดแค่ 999 ชิ้น พร้อมหมายเลขกำกับด้วย ทั้งยังสามารถขอให้สลักชื่อใดๆ ก็ได้อีกด้วย
รุ่นล่าสุดที่เพิ่งออกปีนี้คือ Gresso legal หน้าจอ 5 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.4 กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล หน่วยความจำในเครื่อง 32 กิกฯ สนนราคา 160,000 บาท ใครสนใจสามารถออเดอร์ได้ที่ www.gresso.com ส่งฟรีทั่วโลกภายใน 2-5 วัน
ดูวิดีโอโปรโมทมือถือ Gresso legal ได้ที่นี่
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 6 แบรนด์มือถือสุด Niche ที่เราพูดถึง แน่นอนว่าสำหรับบางคนอาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เลือกมือถือรุ่นเดียวกับที่เพื่อนๆ ใช้ ไม่ใช่เพราะตามแฟชั่น แต่กลัวเรื่องแอพฯ หรือเครื่องมีปัญหาและหากูรูมาช่วยยาก แต่ผู้เขียนก็ยังเชื่อว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่มองตรงกันข้ามว่า มือถือแบรนด์ดังทุกวันนี้มันน่าเบื่อ และยังมีหลายฟีเจอร์ที่ไม่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขาจริงๆ การมองหา “มือถือทางเลือก” ก็เป็นทางออกที่น่าจะต้องลอง!