สวัสดีครับ พบกับผมเช่นเคย ปีเตอร์กวง ควงมือถือ พิธีกรรายการ “ล้ำหน้าโชว์” ซึ่งรายการนี้ผลิตและสร้างสรรค์โดย บริษัท ล้ำหน้าโชว์ จำกัด ที่เราทั้งสาม (พี่หลาม ปีเตอร์กวง อาจารย์ศุภเดช) ได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยกันเพื่อให้ผู้ชมได้บริโภคสาระดีๆ ที่ให้ความรู้ด้านไอทีและเทเลคอม บวกกับความบันเทิงตามสไตล์แบบของพวกเราไปด้วย โดยออกอากาศทางช่อง Nation Channel (เนชั่นแชนแนล) รับชมได้ที่ช่อง 22 ทั้งทางทีวีดิจิตอลและทีวีดาวเทียม ทุกวันอาทิตย์ ออกอากาศสด เวลา 15:00-16:00 อยากให้ติดตามกันเยอะๆนะครับ แล้วบ่ายวันอาทิตย์ของคุณ จะมีความหมายมากกว่าเดิม… สำหรับตัวผมเองก็ยังประจำการใน What Phone Magazine ทุกเดือนเหมือนเช่นเคยครับ เพื่อไขข้อข้องใจและเก็บตกข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงการเทเลคอม ทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ สำหรับฉบับนี้จะมาพูดเรื่อง ควันหลงงาน Apple Special Event 2016 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Apple ที่จัดขึ้นในวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา
Apple Watch ยังไม่ตกรุ่น เพิ่มสายทางเลือกแบบใหม่ คาดปลายปีโฉมใหม่มาแน่
ตอนแรกมีข่าวลือมาว่า Apple อาจจะปรับเปลี่ยนโฉม Apple Watch เล็กน้อยประมาณว่า Minor Change ซึ่งนั่นแปลว่าของที่มีอยู่จะตกรุ่นไปโดยปริยาย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการออกแต่สายรูปแบบใหม่ที่ทำจาก ไนลอน (Nylon) ก็ประมาณหน้าตาจะคล้ายๆ สายผ้าถักครับ แต่เส้นหนึ่งก็ปาไป 1,900 บาทครับ แล้วยังมีสายยางแบบสีใหม่ๆ ออกมารองรับกลุ่มที่ชอบแบบ Sports ว่าไปก็ทำให้ลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ไม่เจ็บช้ำน้ำใจเร็วนัก แถมยังชวนลูกค้าเดิมซื้อสายเพิ่ม ได้ตังค์จากกระเป๋าลูกค้าอีกต่อ แต่ส่วนตัวผมว่าครบสองปีเมื่อไร Apple น่าจะเปิดโฉมตัวใหม่แน่ๆ ซึ่งน่าจะเป็นปลายปีนี้นะ อาจจะพร้อมๆ กับการเปิดตัว iPhone ใหม่ก็เป็นได้ ส่วนตัวปัจจุบันถ้าผมเดารูปแบบธุรกิจของ Apple ไม่ผิด เขาน่าจะยังคงไว้แต่ปรับลดราคาให้ถูกลงมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเอาไปต่อสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ปกติแล้วราคาจะถูกกว่า Apple เสมอ ถ้าตอนนี้ใครกำลังตัดสินใจจะซื้อ Apple Watch ก็รีบๆ จัดไปเถอะครับ ของอิเลคทรอนิคส์ไฮเทค ซื้อช้าก็ยิ่งมูลค่าตกไปตามกาลเวลา เว้นแต่ว่าคุณไม่แคร์ 😉 ในตลาดโลกแล้ว Apple Watch ก็ยังครองแชมป์ Smart Watch อยู่ตอนนี้ รอดูกันต่อไปว่าใครจะมาท้าทายแชมป์ตำแหน่งนี้จาก Apple ได้
Apple ยกเครื่องให้ iPhone 5s กลายมาเป็น iPhone SE ดีจริงไหมบนหน้าตาเดิมๆ
งานเปิดตัวสินค้ารอบนี้เป็นที่น่าแปลกใจกับการที่ Apple ได้ปล่อยสินค้า iPhone ใหม่ลงตลาดในรอบเวลานี้ ปกติแล้ว Apple จะเปิดตัวสินค้าใหม่ iPhone เฉพาะในช่วงปลายไตรมาส 3 เท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงพอร์ตสินค้าตัวเองให้ลงตัวมากยิ่งขึ้นก่อนที่ iPhone 7 จะมาตามนัดในช่วงไตรมาส 3 คือประมาณเดือนกันยายนของทุกปีนั่นเอง จริงๆ การเปิดตัวสินค้าใหม่รอบนี้คือ iPhone SE นั้นมีข่าวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็มีข่าวลือกันไปสองสามทางจนในที่สุดเราก็ได้เห็นกันสำหรับ iPhone SE ซึ่งคงหน้าตาและบล็อกเดิมของ iPhone 5s เอาไว้ คือใช้บอดี้เดิมและขนาดหน้าจอเท่าเดิมคือ 4” นั่นเอง
โดย Apple ให้เหตุผลว่าเป็นขนาดหน้าจอที่ได้รับความนิยมที่สุด ก็แหงล่ะ เพราะที่ผ่านมา iPhone 4, 4s, 5, 5s นั้น Apple ก็ลากยาวมาไม่รู้กี่ปี กว่าจะมีจอใหญ่อย่าง iPhone 6 เมื่อปี 2014 ก็ย่อมสะท้อนว่าจอ 4” ของ Apple มียอดขายเยอะก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่ารูปทรงการออกแบบนั้นอิงไปทาง iPhone 5/5s ที่ใช้มากว่า 4 ปีแล้ว ส่วนตัวผมกลับอยากเห็น iPhone SE หน้าตาและการออกแบบไปคล้ายๆ กับ iPhone 6/6s แต่มีขนาดจอ 4” มากกว่า
อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีเหตุผลของตัวเองในการวางกลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าเรามองกันดีๆ ไปที่เดือนกันยายนนี้แล้ว การเปิดตัวของ iPhone 7 นั้นย่อมมีหน้าตารูปทรงของเครื่องใหม่อย่างแน่นอน เพราะปกติแล้ว Apple จะใช้บอดี้ของ iPhone แต่ละโฉมนั้นเป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน ซึ่งรอบนี้ก็ถึงเวลาพอดี ถ้ามองว่าเมื่อ iPhone 7 ออก ตระกูลก่อนหน้าอย่าง iPhone 6s/6s Plus ย่อมถูกปรับลดราคาลงไปตามคาด คืออยู่ตรงกลาง ส่วนตัวล่างสุดก็กลายมาเป็น iPhone SE ที่มาแทนที่ iPhone 5s ตามลำดับ ทำให้การวางตำแหน่งของสินค้า iPhone 3 รุ่นนั้นอยู่กันได้อย่างลงตัว โดยมีรูปทรง 3 แบบ ใน 3 กลุ่มราคา และ 3 ขนาดหน้าจอ แต่ในกลุ่มระดับล่างนั้นถึงแม้ว่าราคาจะถูกกว่าใครเพื่อน แต่ด้วยการที่ iPhone SE (SE = Special Edition) นั้นใช้บอดี้เดิมของ iPhone 5s ทำให้ต้นทุนในการผลิตการพัฒนาไม่น่าจะแพงแต่อย่างใด จะมีแต่ไส้ในอย่าง CPU A9 (เหมือน iPhone 6s), RAM 2 GB, กล้อง 12 ล้านพิกเซล ที่ทำให้พลังของฮาร์ดแวร์ iPhone SE มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับ iPhone 6s เลยทีเดียว ถึงแม้จะไม่เหมือนกันทั้งหมด 100% ก็ตาม นั่นก็ทำให้การอัพเกรด iOS แต่ละเวอร์ชั่นสำหรับรุ่นที่ขาย (สมมุติว่าปีนี้ขยับไป iOS 10) Apple ก็คงไม่ต้องปวดหัวกับ CPU ที่ถอยหลังไปหลายเจนเนอร์ชั่นเกินไปนัก
ว่าแต่ว่าเราอยากให้ iPhone SE (รุ่นล่างสุด) นั้นราคาถูกจริงๆ จังๆ เสียทีนะครับ Apple ก็น่าจะกำไรไปมากแล้วกับ iPhone 5s ถ้าจัดให้ iPhone SE ราคาสักหมื่นต้นๆ ก็น่าจะได้ใจลูกค้าไปอีกบานเลย (แม้ว่าสิ่งที่ผมฝันมันไม่น่าจะเป็นจริงก็ตาม อิอิอิ) ก็ต้องมาดูกันว่าราคาจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผมเชื่อนะว่าเมื่อออกมาแล้ว iPhone 5S จะยังถูกขายออกไปเรื่อยๆจนหมดสต็อค ไม่ค้างแน่ๆ เพราะราคาคาดว่ายังมีจุดต่างอยู่
ส่วน iPhone นั้นไม่ว่าจะออกรุ่นอะไรมา ยังไงก็ขายได้ iPhone SE ก็น่าจะขายดีเช่นกัน เพราะยังมีคนชอบขนาดจอ 4” ที่พกพาสะดวก ใช้มือเดียวได้ง่ายกว่า (ยกเว้น iPhone 5c ที่แป๊ก) สำหรับปีหน้า ผมเดาว่า iPhone SE ซีรี่ย์นี้ก็อาจจะถูกวางตำแหน่งให้มีการเปิดตัวในช่วงเดือนมีนาคมเหมือนที่เปิดตัวกันไปนี้ และจะกลายเป็นว่า Apple อาจจะมีงานเปิดตัว iPhone 2 รอบในหนึ่งปีก็เป็นได้นะครับ ว่าแต่จริงๆ แล้วความจุของ iPhone SE น่าจะเริ่มที่ 32 GB นะครับ วันนี้ 16 GB บน iOS ทำอะไรไม่ค่อยจะได้แล้ว ใช้สักพักก็เต็มอีก แถมใส่ Memory Card ไม่ได้ เศร้าจริง
iPad Pro ใหม่ในขนาดยอดฮิตต้นฉบับ 9.7” ดูดีขึ้นนะ นี่สิ iPad มหาชน
จากการเปิดตัว iPad Pro ขนาดหน้าจอ 12.9” ไปเมื่อปีก่อนนั้น (เปิดพร้อมกับ iPhone 6s) และไม่มีการเปิดตัว iPad Air 3 ด้วยแต่อย่างใด ทำให้กระแสข่าวแว่วมาว่า งานนี้ต้องมี iPad จอดั้งเดิมอย่างขนาด 9.7” ออกมาเสียทีแล้วล่ะ แต่จะมาเป็นแบบ Air 3 หรือไม่ ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วว่า Apple คิดอย่างไรกับภาพของไลน์อัพผลิตภัณฑ์ตระกูล iPad โดยการออก iPad Pro 9.7” ออกมาซึ่งมีสเปคเหมือนกับ iPad Pro 12.9” แทบทุกอย่างยกเว้นก็ขนาดจอเท่านั้น ที่สำคัญจะใช้ Pencil หรือปากกาสไตลัส ได้ด้วย (สงสัยค้างสต๊อคอยู่เยอะ) ภาพนี้ชัดว่า Apple ต้องการให้ iPad ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่า พวกแท็บเล็ตที่ต่อคีย์บอร์ดได้นั้น เริ่มออกมาเยอะขึ้นโดยเฉพาะตระกูล PC, Windows 10 และใช้ได้ดีมีประสิทธิภาพจริงๆ แถมยังถูกกว่า iPad Pro 12.9” อีกต่างหาก
นั่นทำให้ทาง Apple น่าจะเห็นช่องตรงนี้แล้วจึงดัน iPad Pro 9.7” ออกมาสู้ โดยราคาก็อาจจะใกล้เคียงกับ iPad Air 2 ก่อนหน้านี้ (เริ่มต้นที่ 22,900 บาท) แต่เน้นๆ เรื่องสเปคมากขึ้น เพื่อให้สามารถเอาไปใช้งานได้จริงๆ ส่วนตัวล่างก็ยังมี iPad Air 2 สำหรับคนที่ไม่ได้เน้นประสิทธิภาพมากนัก และรองลงไปก็เป็น iPad Mini 4 และ iPad Mini 2 สำหรับคนที่ต้องการขนาดที่พกพาได้ง่าย ยืนอยู่ในตำแหน่งที่รองรับกลุ่มลูกค้าระดับแมสตามลำดับ โดยเริ่มต้นถูกสุดก็คือ iPad Mini 2 WiFi ราคาเพียง 9,900 บาท ดูภาพรวม iPad ไลน์อัพค่อนข้างลงตัวครับ แต่ถ้าถามว่ามีคอมเมนท์ไหม ก็อยากบอกว่าอุปกรณ์เสริมอย่าง Keyboard และ Pencil เพื่อใช้เขียนบนจอ iPad Pro ยังไงก็ลดราคาลงเยอะๆ จะดีมากเลยครับ ตอนนี้ Keyboard 6,700 บาท ส่วน Pencil ราคาแท่งละ 3,900 บาท สองอย่างรวมกันปาไป 10,600 บาท ผมว่ามันแพงเกินไป ถ้าคิดจะเน้นๆ เอาส่วนแบ่งการตลาด ต้องใจใหญ่ กล้าได้กล้าเสียอีกสักหน่อย เพราะทุกวันนี้ต้องบอกว่ายอดขาย iPad ในแต่ละเดือน แต่ละปี ก็หดลงไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา… ลูกค้าที่ใช้ iPad ก็ไม่ค่อยมีใครเจอปัญหาเรื่องเครื่องเสียกันแต่อย่างใด ของดีออกแบบมาดีใช้ได้นานมาก ไม่เหมือน iPhone ที่สาวกส่วนใหญ่จะเปลี่ยนตามทุกปี ปีละรุ่นกันไป จะคิดการใหญ่ ต้องใจใหญ่ด้วยนะครับ Apple งานนี้ศึกรอบด้านครับ ไหนจะมี Tablet Android อย่าง Samsung Galaxy Tab สู้ต่อไปครับ Apple iPad
Apple จะไปยังไงต่อกับตลาดในปีนี้ ป้ายหน้า iPhone 7?? หรือจะหมดมุขแล้ว??
อย่างที่กล่าวไป ยังไงกันยายนนี้เราได้เห็น iPhone โฉมใหม่ในนาม iPhone 7 แน่ๆ (ยกเว้น Apple คิดทำเป็นอย่างอื่น) ว่าแต่มันจะมีมุขอะไรใหม่ๆ ไหม ไม่ง่ายนะครับที่จะเปลี่ยนแค่ดีไซน์พอ Apple ต้องเอา Samsung, LG, Sony เป็นตัวเปรียบเทียบให้ดีๆ นะครับ เพราะยี่ห้อเหล่านี้อยู่ในกลุ่มระดับราคาเดียวกัน แต่แบรนด์พวกนั้นปรับตัวเร็ว ทำสิ่งใหม่ๆ ออกมาแนะนำกันเสมอทุกปี แม้แต่เปลี่ยนรูปโฉมบอดี้กันทุกปีด้วย และปรับตัวสู้กับ iPhone อย่างเต็มที่อยู่แล้ว อาทิเช่น Galaxy S7 ที่ล่าสุดทำให้กันน้ำกันฝุ่นได้ แถมยังเพิ่ม Memory Card ได้ (อันนี้ Apple ไม่กล้าทำ อ้างว่าเป็นระบบปิดปลอดภัยกว่า แล้วมาอัพราคาแพงๆ สำหรับความจุสูงๆ) โดยช่อง Memory Card นี้เป็นแบบ Hybrid คือใส่ SIM 2 ก็ได้ถ้าไม่ต้องการ Memory Card ส่วนเรื่องกล้องก็ล้ำไปอีกสเต็ปด้วย Dual Pixel กล้องหน้าความละเอียดสูงๆ น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะคนเราชอบ Selfie กันมากเหลือเกินเวลาไปไหนมาไหนคนเดียว หรือว่าจะเป็นกล้องคู่อย่างของ LG ที่ทำให้ประสบการณ์การถ่ายภาพนั้นล้ำไปอีกสเต็ปหนึ่งเช่นกัน แถมยังมี Laser ช่วยหา Focus ภาพอีกด้วย
จอภาพก็เป็นอีกเรื่องที่ Apple คงต้องคิดและปรับให้ทันคู่แข่ง เพราะวันนี้แบรนด์อื่นๆ ไปจอแบบ 2K กันหมดแล้ว หรืออย่าง Sony Xperia Z5 Premium ที่หันไปใช้จอระดับ 4K (อันนี้เว่อร์ไปเลย) ที่พูดๆ มานั้น Apple อาจจะบอกว่าทำนอง “Nice to have” คือมีก็ดี แต่เดี๋ยวนี้ผู้บริโภคโดนกล่อมหูทุกๆ วัน มันก็คล้อยตามกันได้นะครับ เทคโนโลยีเหล่านี้มันจับต้องกันได้ง่าย เปรียบเทียบกันได้หมด เห็นๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นถ้า iPhone 7 ออกมาแล้วไม่มีอะไรใหม่ยกเว้นแต่รูปโฉมอย่างเดียว ผมว่า Apple จะอยู่ยากแล้วครับ เอ้า…สาวก Apple มาช่วยกันลุ้นนะครับ การแข่งขันยิ่งดุเดือดเท่าไร ประโยชน์และทางเลือกจะอยู่กับพวกเราผู้บริโภคทั้งหลาย (ที่เสียตังค์กันได้ตลอดเวลา ฮ่าๆๆๆ) โชคดีมีทรัพย์กันทุกๆ คนนะครับ
สำหรับแฟนๆ ท่านใดที่มีคำถาม สามารถติดตามมาได้ที่ twitter ของผม @peter2514 นะครับ ส่วน facebook ตามมาได้ที่ Techoffside ถ้าจะติดตาม Instagram ก็ Search หา ID “peter2514” ได้นะครับ แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะครับ ขอบคุณทุกการติดตามครับ
