ถ้าพูดถึงสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ก็คงจะไม่พ้น Xiaomi Mi Band 3 ที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ในราคาในสุดคุ้ม วันนี้ทาง Whatphone ก็มีรีวิวของเจ้าตัวนี้มาฝากกันครับ
Xiaomi Mi Band 3 [Specs]
- จอแสดงผลขาวดำ OLED 0.78 นิ้ว ความละเอียด 128 x 80 พิกเซล
- หน้าจอสัมผัสแบบ Touch Screen และ Touch Button (ปุ่มโฮม)
- กดปุ่มบนและสัมผัสหน้าจอเพื่อดู เวลา, จำนวนก้าวเดิน, ระยะทาง, แคลอรี่, อัตราการเต้นของหัวใจ, แบตคงเหลือ, การแจ้งเตือน, ดูสภาพอากาศ
- ดูเวลาในได้ที่หน้า จอแสดงผล OLED และตั้งปลุกสั่นเตือนผ่านแอพได้
- ตรวจจับการนับจำนวนก้าวในแต่ละวัน โดยสามารถกำหนดเป้าหมายการเดินในแต่ละวันได้
- ตรวจจับการนอนในแต่ละวัน ว่าเรานอนหลับแบบ deep sleep เป็นเวลาเท่าไหร่
- มี sensor วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) แบบ Real-time และตั้งให้จับแบบต่อเนื่อง หรือจับขณะแกว่งแขนได้
- มีฟังก์ชั่น Lift Your Wrist เพียงยกแขนขึ้น หน้าจอก็จะแสดงผล
- เปลี่ยนรูปแบบหน้าจอบนนาฬิกาได้
- สั่นเตือนเมื่อมีโทรศัพท์โทร, ข้อความแจ้งเตือน, SMS, เข้ามาในกรณีที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือโดยบลูทูธ
- แจ้งเตือนแอพที่หน้าจอ และอ่านข้อความภาษาอังกฤษ
- แสดงชื่อบนจอขณะสายเข้า (รองรับภาษาอังกฤษ)
- ปฏิเสธการรับสายเมื่อมีสายเข้าได้
- ค้นหาโทรศัพท์หายได้ เมื่ออยู่ในระยะประมาณ 3 เมตร
- แบตเตอรี่ขนาด 110 มิลลิแอมป์ (ใช้งานได้ต่อเนื่องนานสูงสุดราว 20 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง)
- กันน้ำได้ที่ความลึกระดับ 50 เมตร (5 ATM waterproof level) สามารถใส่ว่ายน้ำ และใส่อาบน้ำได้
- ปลดล็อกโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องใส่รหัสผ่าน เมื่อเราใส่ mi band และเชื่อมต่อกับมือถือ (เฉพาะมือถือแอนดรอย)
- รองรับการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth 4.2 BLE
- รองรับกับระบบโทรศัพท์ Android 4.4 , iOS 9 และ Bluetooth 4.0 ขึ้นไป
- ขนาด 17.9 x 46.9 x 12mm
- น้ำหนัก 7.0 กรัม
- สายรัดสามารถปรับความยาวได้ตั้งแต่ง 155 mm ถึง 216 mm
แกะกล่อง Unboxing
วิธีการใช้งานเบื้องต้นกับแอพ Mi Fit
ก่อนการใช้งานกับแอปพิลเคชั่น Mi Fit (ต้องมีบัญชี Mi Account ในการใช้งาน Login ใช้งานด้วย) บนสมาร์ทโฟน Android และ iOS นั้นจะต้องทำการชาร์จเจ้าตัว Mi Band 3 ให้เต็มเสียก่อนการเชื่อมต่อ (Pair) และอย่าลืมเปิด Bluetooth ไว้เชื่อมต่อด้วยครับ
และยังสามารถใช้งานตัวเครื่องได้ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น Mi Fit ก็สามารถทำได้ดังนี้
- สามารถจับเวลาได้ เพียงแค่เลื่อนไปที่หน้าที่สุดท้าย (More) แล้วปัดหน้าจอไปทางซ้ายมือก็จะพบเมนูของนาฒิกาจับเวลา ซึ่งเราสามารถกดปุ่มโฮมค้างเพิ่มเริ่มจับเวลาได้เลย
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทันหน้าจอไปที่เมนู Heart Rate หลังจากนั้นกดปุ่มโฮมค้างไว้ มันก็จะทำการวัดอัตราการเต้นของหัวใจให้เราได้ทันที
- เปลี่ยนรูปแบบหน้าจอแสดงผลได้ เพียงแค่เลื่อนไปที่หน้าที่สุดท้าย (More) แล้วปัดหน้าจอไปทางซ้ายมือก็จะพบเมนู Screen แล้วกดค้างที่ปุ่มโฮมไว้ ก็จะสามารถเลือกเปลี่ยนรูปแบบของหน้าจอได้ถึง 3 แบบด้วยกัน
สรุปการใช้งาน น่าซื้อหรือไม่?
จากการใช้งานโดยรวมของเจ้า Xiaomi Mi Band 3 นั้นถือว่าน่าประทับใจเลยทีเดียวครับ เพราะว่าแบตเตอรี่อึดมาก ๆ หน้าจอก็สามารถสัมผัสได้แล้ว กันน้ำได้มากขึ้น ดีไซน์อาจจะไม่ต่างกับรุ่นก่อนนัก แต่ก็มีความชัดเจนตรงที่รูปทรงจอโค้งให้ความหรูหราขึ้นพอประมาณ (รุ่นก่อนจอจะเรียบ ๆ ไปกับสายรัดข้อมือเลย) ด้วยราคาที่แพงขึ้นกว่ารุ่นก่อนประมาณ 300 บาท ถือว่าน่าซื้อพอสมควรครับ เพราะตอนนี้ก็มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว หาซื้อและส่งเคลมได้ง่ายกว่าเดิม
⇒ ข้อดี
- ดีไซน์หรู จอใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนแล้วก็สามารถ Touch Screen ได้แล้ว
- แบตเตอรี่อึดมาก (ใช้มา 2 อาทิตย์แล้วแบตเตอรี่ลดไปแค่ 54%)
- น้ำหนักเบาใส่สบาย
- มีอัพเดทเฟิร์มแวร์เกือบทุกเดือน ไม่มีลอยแพแน่นอน
- รองรับภาษาไทยแล้ว ในเฟิร์มแวร์ล่าสุด (เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยจะต้องทำการเปลี่ยนภาษาของสมาร์ทโฟนให้เป็นเมนูไทยเสียก่อนถึงจะใช้งานภาษาไทยกับ Mi band 3 ได้)
- กันน้ำได้ดีกว่ารุ่นก่อน ใส่ว่ายน้ำได้แล้ว
- ราคาปกติอยู่ที่ 1,190 บาท ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสายรัดข้อมืออัจฉริยะของแบรนด์ชั้นนำ (แถมยังมีโปรโมชั่นเกือบทุกเดือน เรียกได้ว่าหาซื้อได้ในราคาราว ๆ 890 บาทหรือต่ำกว่านั้นก็มีมาแล้ว)
⇒ ข้อสังเกตุ
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจวัดไม่ได้แม่นยำมาก
- ไม่มี NFC (เครื่องศูนย์ไทยไม่ได้นำรุ่นที่มี NFC เข้ามาวางจำหน่าย)
- ยังใช้บลูทูธเวอร์ชั่น 4.2 อยู่ (คู่แข่งไป 5.0 กันหมดแล้ว)
ก็จบกันไปแล้วกับรีวิวเสียวหมี่ หมี่แบนด์ 3 ที่ทางเว็บไซต์เรานำมาฝากกัน และสำหรับใครที่อยากติดตามบทความดี ๆ หรือข่าวสารใหม่ ๆ ก็สามารถกดไลค์เพจ WhatPhone.net หรือเข้ามาพูดคุยกันได้ที่ WhatPhone – Commu ได้เลยครับ