อีกเพียงไม่กี่ปี ทั่วโลกก็สามารถพูดกับ Apple เป็นเสียงเดียวกันได้ว่า “บนโลกนี้มี iPhone มาเป็นสิบปีแล้วนะ” จากในปี 2007 ที่เป็นปีของการเปลี่ยนวงการมือถือและเทคโนโลยีทุกๆ ด้าน จากมือถือหน้าจอขาวดำที่สามารถทำได้เพียงรับสายเข้าโทรออก เล่นเกมส์แบบง่าย ข้ามมาเป็นมือถือหน้าจอสีสันสวยงาม พร้อมฟังก์ชั่นที่ทั้งโลกให้ความสนใจ จนถึงวันนี้ที่ iPhone ได้กระโดดขึ้นมาเป็นมือถือที่ครองใจคนทั้งโลกกับนวัตกรรมสุดล้ำที่ตอบโจทย์ใครหลายคน Apple ได้ผ่านมาแล้วเป็นระยะเวลา 8 ปี ซึ่ง 8 ปีที่ผ่านมาก็มีจุดเปลี่ยนสำคัญไปต่างๆ นานา เรามาดูกันว่าในแต่ละปี Apple ได้สร้าง iPhone มีการเปลี่ยนที่ทำให้สามารถเข้าไปครองใจใครต่อหลายคนได้อย่างไรบ้าง
เริ่มกันด้วย iPhone รุ่นแรก หรือ iPhone 2G ที่เปิดตัวในวันที่ 9 มกราคม 2007 กับระบบปฏิบัติการ iPhone OS (ปัจจุบันคือ iOS) มีความสามารถในฟังเพลง การเข้าเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต ค้นหาแผนที่ และกล้องถ่ายรูปความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รายละเอียดตัวเครื่องด้วยหน้าจอ 3.5 นิ้ว ซีพียู 412 เมกะเฮิร์ตซ์ ARM 11 และจีพียู PowerVR MBX สามารถเชื่อมต่อเอดจ์ (EDGE), ไว-ไฟ, บลูทูธ ได้ ทำจากวัสดุอลูมิเนียม, พลาสติก และกระจก วางจำหน่ายด้วยการแบ่งตามหน่วยความจำเครื่อง 3 รุ่น คือ 4, 8 และ 16 กิกะไบต์
ในปีต่อมา iPhone 3G ก็ได้ถูกเปิดตัวกับกับสเปคเครื่องที่คล้ายกับตัวก่อนหน้านี้ ได้มีการนำระบบปฏิบัติการ iPhone OS 2.0 มาใช้งานและเพิ่มแรม 128 เมกะไบต์ และเปลี่ยนจำหน่ายเพียงแค่รุ่น 8 กิกะไบต์ และ 16 กิกะไบต์ โดยมาพร้อมกับบอดี้เครื่องสีขาวและสีดำ ซึ่งในปีนี้ถือว่าเป็นมีที่เหมือนจะธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะเป็นการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่แล้ว ยังมีการเปิดตัวของแอพสโตร์ (App Store) ที่เป็นแหล่งรวมแอพลลิเคชั่นที่น่าสนใจมากมายอีกเช่นกัน
ในวันที่ 8 มิถุนายน ปี 2009 ทาง Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 3GS ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 3.0 ถือเป็นรุ่นที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก เชื่อได้เลยว่าต้องมีผู้อ่านหลายท่านเคยจับจองกันเป็นเจ้าของมาแล้ว iPhone 3GS ใช้ซีพียู Cortex-A8 600 เมกะเฮิร์ตซ์, แรม 256 เมกะไบต์ พร้อมเพิ่มความละเอียดกล้องเป็น 3.2 ล้านพิกเซล พร้อมออโต้โฟกัส รองรับการถ่ายวิดีโอ การใช้งาน 3จี ความเร็วสูงสุด 7.2 เมกะบิท และการสั่งงานด้วยเสียง หรือที่เรียกว่าวอยซ์คอนโทรล (Voice Control) ซึ่ง iPhone 3GS นั้นมีดีไซน์ที่เหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา แต่ตัวอักษรด้านหลังนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเงินที่เหมือนกับโลโก้ Apple พร้อมกันนี้ยังได้ขยายหน่วยความจำเครื่องเป็น 8, 16 และ 32 กิกะไบต์
หลังจากการเปิดตัวของ iPhone 3GS แล้ว Apple ก็ยังไม่หยุดที่พัฒนาพร้อมกับการมาของ iPhone 4 ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2010 ด้วยดีไซน์แบบใหม่ที่ทำให้หลายต่อหลายคนคาดการณ์ไม่ถึงในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนจากความโค้งมนเป็นการใช้ความเหลี่ยมแบบชัดเจน หากแต่ยังเป็นการเปลี่ยนของวัสดุที่ใช้ในการผลิตและรายละเอียดข้างในตัวเครื่องอย่างชัดเจน อาทิ การใช้สเตนเลนสตีลไร้ฉนวนเป็นเสาอากาศ หรือการใช้กระจกอลูมิโนซิลิเกตชนิดพิเศษที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวเครื่อง หรือความละเอียดหน้าจอที่เพิ่มขึ้นเป็น 960×640 พิกเซล หรือเรติน่าดีสเพลย์ พร้อมจุดเด่นกล้องด้านหน้าที่รองรับการใช้งานเฟสไทม์ (FaceTime) หรือการวิดีโอคอลล์แบบเห็นหน้าผ่านไว-ไฟ กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซีพียู Apple A4 ความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ตซ์ และแรม 512 เมกะไบต์ ที่หลังจากเปิดตัวไม่นาน iPhone 4 ก็เป็นอีกรุ่นที่ใครหลายคนก็ต้องถามหาซื้อและใช้เฟสไทม์กันอย่างทั่วบ้านทั่วเมือง จนกลายเป็นจุดกำเนิดของแอพฯ วิดีโอคอลล์หลายต่อหลายตัว และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 4.0
ซึ่งในปีถัดมาก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ใครต่อหลายคนรู้สึกได้ว่า Apple ได้เสื่อมมนต์หลงกับข่าวของการจากไปอย่างมันมีวันกลับของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้บริหารคนสำคัญ บวกกับการเปิดตัวของ iPhone 4S ในวันที่ 4 ตุลาคม 2011 ที่ในครั้งนี้ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนแต่อย่างเคย ส่งผลให้หุ้นของแอปเปิลตกลงอย่างน่าตกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยกับระบบปฏิบัติการ iOS 5.0 และไอคลาวด์ (iCloud) ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ เบอร์โทรศัพท์ และอื่นๆอีกมากมาย ไว้บนคลาวด์สตอเรทได้อย่างมั่นใจกันเลยทีเดียว รวมถึงการเพิ่มความละเอียดกล้องเป็น 8 ล้านพิกเซล ซีพียู Apple A5 ดูอัล-คอร์ ความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ตซ์ แรม 512 เมกะไบต์ และฟังก์ชั่นอันน่าตื่นเต้นในชื่อว่า สิริ(Siri) ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงกับผู้ช่วยคนสำคัญในมือถือได้อีกด้วย
ถัดจาก iPhone 4S ได้เพียงหนึ่งปี ในวันที่ 12 กันยายน 2012 Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 5 ที่ออกมาพร้อมกับความโดดเด่นของวัสดุที่เป็นอลูมิเนียม และกระจก ทำให้ความหนาของเครื่องถูกทอนลงเหลือเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 112 กรัม หน้าจอขายยาวขึ้นเป็น 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล ซีพียู Apple A6 ความเร็ว 1.3 กิกะเฮิร์ตซ์ แรม 1 กิกะไบต์ รองรับการใช้งาน 4จี แอลทีอี การใช้งานนาโนซิม หูฟังแบบ Earpods และสายชาร์จรูปแบบ Lightning รวมถึงกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล และระบบปฏิบัติการ iOS 6 ส่งผลให้ iPhone 5 กลายเป็นรุ่นยอดนิยมไปอีกรุ่นหนึ่งเช่นเดียวกัน
แต่การมาของ iPhone 5 นั้นก็ทำให้เกิด iPhone 5s และ iPhone 5c ใน 10 กันยายน 2013 ออกมากตามลำดับ โดยในรอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เริ่มจาก iPhone 5s ที่ใช้ชิป Apple A7 ระบบ 64-บิท ทำให้มีความเร็วในการใช้งานมากกว่า iPhone รุ่นอื่นๆ ถึง 40 เท่า แรม 1 กิกะไบต์ พร้อมแฟลชคู่ดูอัลแอลอีดี กล้อง 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบทูโทน แบตเตอรี่อึดขึ้นกว่าเดิม 10% รองรับสแตนด์บายได้ 250 ชั่วโมง และจุดเด่นของฟังก์ชั่นระบบสแกนลายนิ้วมือ หรือทัชไอดี เซ็นเซอร์ (Touch ID Sensor) และการจำหน่ายเครื่องสีทองด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวของ iPhone 5c ที่ทาง Apple ต้องการขยายกลุ่มตลาดในระดับล่างกับราคาที่ไม่แพง แต่ฟังก์ชั่นครบครัน โดยในสเปคเครื่องแบบเดียวกับ iPhone 5 แต่ใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตเคลือบทั้งชิ้น ซึ่งมีให้เลือกจับจองกันถึง 5 สี คือ สีขาว สีเขียว สีฟ้า สีชมพู และสีเหลือง
อย่างไรก็ตาม Apple ก็ไม่หยุดที่พัฒนาและสร้างปรากฏการณ์อันแปลกใหม่อยู่เสมอ กับในวันที่ 9 กันยายน 2014 ด้วยความลับที่ทุกคนต่างคอยการเฉลยเป็นอย่างมาก ด้วยการเปลี่ยนรูปโฉมและภายในของเครื่องใหม่เกือบหมด ตั้งแต่การเพิ่มขนาดหน้าจอของรุ่น iPhone 6 เป็นหน้าจอเรติน่าเอชดีดีสเพลย์ ขนาด 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus ขนาดจอ 5.5 นิ้ว ดีไซน์ตัวเครื่องที่เปลี่ยนจากรูปทรงแบบเหลี่ยมกับมาเป็นความโค้งมนเหมือน iPhone รุ่นแรกๆ และใช้ซีพียู Apple A8 แบบ 64-บิท กล้อง 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบทูโทน รองรับเอ็นเอฟซี จ่ายเงินผ่านมือถือด้วยบริการ Apple Pay แบตเตอรี่ที่เพิ่มความอึดขึ้นกว่าเดิม และตัวเครื่องที่ถูกอัพเกรดให้แรงกว่า iPhone รุ่นอื่นๆ อีก 50 เท่า ทำให้เรียกว่าได้เป็นมือถือที่น่าจับตามองมากที่สุดแห่งปี โดยเฉพาะในรุ่น iPhone 6 Plus ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษเพิ่มขึ้นอีก อาทิ ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) พร้อมใช้งานแนวนอนแบบ iPad ที่กลายเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลกแบบไม่ต้องสงสัยกันเลยทีเดียว และทั้งคู่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 8
ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมด อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ที่บางครั้งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ส่งผลให้โลกใบที่เราอยู่เล็กลงกว่าเดิม ทำให้คนที่อยู่ไกลกันกลายเป็นใกล้กันอย่างไม่น่าเชื่อ หรือทำให้เรื่องบางเรื่องกลายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจไปโดยปริยาย โดยทั้งนี้เรื่องราวลำดับการเกิด iPhone รุ่นต่างๆ ที่ผ่านมาก็ล้วนแต่เป็นประวัตศาสตร์ที่น่าจดจำและน่าติดตามกันต่อไปว่า ในเร็วนี้ๆ แอปเปิ้ลจะนำเสนออะไรแปลกไหมให้กับผู้คนทั่วโลกอีกบ้าง