สวัสดีครับ ผมปีเตอร์กวง ควงมือถือ พิธีกรรายการ “ล้ำหน้าโชว์” ซึ่งรายการนี้ผลิตและสร้างสรรค์โดย บริษัท ล้ำหน้าโชว์ จำกัด ที่เราทั้งสาม (พี่หลาม ปีเตอร์กวง อาจารย์ศุภเดช) ได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยกันเพื่อให้ผู้ชมได้บริโภคสาระดีๆ ที่ให้ความรู้ด้านไอทีและเทเลคอม บวกความบันเทิงตามสไตล์แบบของพวกเราไปด้วย โดยออกอากาศทางช่อง Nation Channel (เนชั่นแชนนอล) ดูได้ทั้งทางทีวีดาวเทียมทางช่อง 32 และทีวีดิจิตอลช่อง 22 ทุกวันอาทิตย์ ออกอากาศสด เวลา 15:00-16:00 อยากให้ติดตามกันเยอะๆ นะครับ แล้วบ่ายวันอาทิตย์ของคุณ จะมีความหมายมากกว่าเดิม… สำหรับตัวผมเองก็ยังประจำการใน What Phone Magazine ทุกเดือนเหมือนเช่นเคยครับ เพื่อไขข้อข้องใจและเก็บตกข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงการเทเลคอม ทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ สำหรับฉบับนี้จะมาพูดเรื่อง การเปิดตัว Apple iPhone ใหม่ที่วนกลับมาอีกวาระหนึ่ง ทุกๆ เดือนกันยายนของปีนั่นเอง
รอบหนึ่งปีหมุนวนมา iPhone 6s, iPhone 6s Plus รุ่นใหม่ไมเนอร์เชนจ์ตามคาด
นับตั้งแต่ Apple เริ่มเปิดตัว iPhone ผลิตภัณฑ์สายอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารครั้งแรกเมื่อปี 2007 เป็นต้นมา ถือได้ว่าทุกๆ เดือนกันยายนของปี จะเป็นช่วงที่ Apple จะมีงานแถลงข่าว Keynote ในการเปิดตัวสินค้าใหม่โดยมี iPhone เป็นหัวหอกหลักอยู่เสมอ ปีนี้ก็เช่นกันโดยมีความพิเศษตรงที่ Apple เปิดตัวสินค้าใหม่หลายตัวในงานเดียว อันได้แก่ iPad Pro (iPad จอยักษ์ที่ทรงประสิทธิภาพสุดๆ) Apple TV ใหม่ถอดด้าม (ที่สามารถลงแอพฯ ได้ ทำอะไรๆ ใหม่ได้เหมือนเราใช้ อุปกรณ์ iOS อย่างนั้นเลย)
Apple Watch version ไฮเอนด์ที่ร่วมกับเจ้าแฟชั่นหรูอย่าง Hermes และแน่นอนกับการเปิดตัวสินค้าใหม่ประจำปีได้แก่ iPhone 6s, iPhone 6s Plus ซึ่งถ้าว่าไปแล้วก็เป็นไปตามคาดครับ เพราะมันคือ iPhone 6 Series ที่เป็นรุ่นใหม่แบบ Minor Change คือยังไม่ใช่รุ่นซีรี่ย์ใหม่ ถ้าจะรอ iPhone 7 series ต้องเป็นปีหน้า ถือว่าเป็นรูปแบบที่ Apple วางไว้แบบนี้มาตั้งแต่สมัย iPhone 3G แล้ว ที่พอปีถัดมาก็ใช้บอดี้เดิมแต่อัพเกรดฮาร์ดแวร์ข้างในให้ดีขึ้นมาเป็น iPhone 3Gs พอปีถัดมาก็เป็น iPhone 4 แล้วปีถัดมาก็เป็น iPhone 4s ปีต่อมาก็เป็น iPhone 5 ปีถัดมาก็เป็น iPhone 5s ปีต่อมาก็เป็นการเปลี่ยนใหญ่กลายมาเป็น iPhone 6, iPhone 6 Plus กลายเป็นวงจรทุกสองปีที่จะเปลี่ยนแบบ Major Change ทำให้นึกถึงวงการรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยนะ เพราะผลิตภัณฑ์ของ Apple iPhone นั้นต้องยอมรับว่ามีการออกแบบมาแต่ละ Series นั้นโดดเด่นกว่าสมาร์ทโฟนในค่ายคู่แข่งมาก รูปทรงที่ดีไซน์ออกมาสามารถใช้ได้สองถึงสามปีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะมาเปลี่ยนดีไซน์กันทุกๆ ปีเห็นจะเสียดายนะ
อีกมุมหนึ่งสำหรับผู้ใช้อย่างเราที่ต้องเสียเงินสองหมื่นกว่าบาททุกปีแล้วพบว่าสมาร์ทโฟนที่เราถือตกลงรุ่นไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ รอบเดือนกันยายนดูจะโหดร้ายไปซะหน่อยไหม เพราะฉะนั้นปีถัดมาหลังจากมีการเปลี่ยนดีไซน์แบบ Major Change แล้วมาเป็น Minor Change ในสิบสองเดือนถัดมา iPhone 6s (หน้าจอ 4.7” Retina HD) และ iPhone 6s Plus (หน้าจอ 5.5” Retina FHD) มาด้วยการเปลี่ยนสเปคฮาร์ดแวร์ภายในเพื่อให้ทันสมัยต่อยุคการแข่งขัน อันนี้ผมว่าแฟร์ต่อผู้บริโภคสุดๆ นะ ลูกค้าที่ซื้อไปน้อยกว่าปี หรือจะหกเดือน จะได้รู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยค่าลงมากนัก ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ กับการเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ไม่สามารถทำได้กับผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนจากค่ายคู่แข่งไม่ว่าจะค่ายไหน ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครสำหรับแชมป์สมาร์ทโฟนโลกอย่าง Apple iPhone เรียกแบบนี้คงไม่น่าผิดอะไรนะครับ
iPhone 6s, iPhone 6s Plus อะไรใหม่อะไรเด่น
การเปิดตัวใหม่ของ iPhone 6s, iPhone 6s Plus บนหน้าจอไซส์เดิมนั้น ค่อนข้างเป็นไปตามคาดหมายหลายอย่าง ที่เราได้เห็นจากหน้าข่าวลือของเว็บบล็อคดังๆ ของโลกหลายเดือนก่อนหน้าการเปิดตัว และเดี๋ยวนี้ความลับมืดดำแบบที่ว่าเดาไม่ได้เลยว่า Apple จะออกอะไรมาแทบไม่มีแล้ว พูดง่ายๆ ว่า “ความลับไม่มีในโลก” อีกต่อไป… ใช้คำนี้ก็ไม่น่าผิดอะไร ทุกๆ ครั้งที่มีการเปิดตัว Apple iPhone ใหม่ สิ่งที่ชัดเจนคือ การเป็น Minor change ของ iPhone ซีรี่ย์ก่อนหน้านั้น รูปร่างดีไซน์การออกแบบตัวเครื่องของ iPhone ซีรี่ย์ใหม่ ไม่ได้แตกต่างจากปีก่อน อันนี้ชัดเจน
ในรอบนี้ก็เช่นกันแต่มีพิเศษขึ้นมาตรงที่มีสีใหม่ออกมาให้เลือกซื้อกัน นั่นก็คือสี Rose Gold หรือสีทองกุหลาบ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากความคาดหมายมากนัก เพราะมีข่าวออกมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า Apple จะทำสี Rose Gold นี้ เพียงแต่ว่าจะออกเมื่อไรเท่านั้น แต่สิ่งใหม่ที่มีมากับ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus นั้นน่าสนใจมาก
อันแรกเลยที่ใหม่และเด่นมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนรูปแบบวิถีของการใช้ iPhone iOS ให้เก่งขึ้นสะดวกขึ้น นั่นก็คือการเปลี่ยนหน้าจอให้เป็น Force Touch ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า 3D Touch ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Peek & Pop เข้ามาใช้งาน คือการที่แรงกดหน้าจอของเราแต่ละระดับ กดแรง หรือกดค่อยๆ หรือกดแช่ ก็จะมีคำสั่งออกมาให้เราทำงานต่างๆ ในคำสั่งที่ไม่เหมือนกับการแตะธรรมดา เช่นการดูตัวอย่างคอนเทนต์นั้นๆ ที่เราแตะค้างไว้ ถ้าอยากดูเต็มๆ ก็กดค้างไว้ต่อเนื่อง คอนเทนต์นั้นๆ ก็จะถูกเปิดขึ้นมาเลย อาทิเช่น พวกอีเมล์ รูปภาพ หรือวิดีโอเป็นต้น หรือจะเป็นลักษณะคำสั่งต่างๆ จินตนาการเหมือนเราลากลูกศรเมาส์ของคอมพิวเตอร์ไปที่ไอคอนแอพฯ ใดๆ แล้วคลิกเมาส์ปุ่มขวา มันก็จะมีคำสั่งออกมาอีกชุดให้เราเลือกใช้ได้ทันที อาทิเช่น เอานิ้วแตะค้างไว้ที่ไอคอนกล้อง ก็จะมีคำสั่งออกมาเป็นชุดให้เราเลือก เช่น ถ่ายภาพ Selfie ถ่ายภาพ Panorama ถ่ายวิดีโอ พอเราเลือกแอพฯ ก็จะเปิดแล้วตรงไปที่คำสั่งนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไปเลือกอีกครั้งหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้ความคล่องตัวในการใช้คำสั่งแบบลัดนั้นเกิดขึ้นกับ iOS ได้อย่างสะดวก แต่ Force touch นี้อาศัยฮาร์ดแวร์ของเครื่องด้วย การใช้รุ่นเดิมแล้วอัพเกรด iOS เป็นเวอร์ชั่น 9 จะไม่ได้ฟีเจอร์นี้ครับ ต้องซื้อใหม่สถานเดียว
ส่วนเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องนั้น จากที่เราเห็นว่าหน้าตารูปลักษณ์เครื่องนั้นเหมือนเดิม แต่อันที่จริงแล้ววัสดุอลูมิเนียมที่ทำตัวเครื่องนั้นได้ถูกพัฒนาโดยหันมาใช้วัสดุผสมอย่าง Aluminum 7000 Series เป็นกระจกเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ (เขาว่ามางั้น) ที่ทำให้เครื่อง iPhone แข็งแกร่งกว่า iPhone รุ่นใดๆ ที่ Apple ได้ผลิตมา เพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากรุ่นก่อนที่เราเห็น iPhone 6 Plus ถูกกดจนเครื่องโค้งงอ ส่วนกระจก Apple ก็อ้างว่าเป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่สมาร์ทโฟน บนโลกเคยผลิตมาเลยทีเดียว ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกระจก Gorilla Glass จาก Corning นั่นเอง สุดท้ายพี่ไทยเราก็เอาไปติดกระจกกันรอยกันแตกอยู่ดี ฮ่าๆๆๆ คนไทยยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน จริงไหมครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยน แล้ว Apple เองก็รู้อยู่แก่ใจว่าต้องยกเครื่อง นั่นคือกล้อง มาคราวนี้ Apple จัดเต็ม(ประมาณนึง) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่น้อยหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ ด้วยการหันมาใช้กล้องหลังที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (จากเดิม 8 ล้านพิกเซล) สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงถึงระดับ 4K หรือ 3840 x 2160 พิกเซล (รายอื่นมีมาเป็นปีละ) แต่เชื่อว่าจุดนี้จะทำให้แฟนๆ iPhone จะมีความสุขมากขึ้นมากมายกับภาพที่ถ่ายจากกล้อง iPhone 6s, iPhone 6s Plus นี้ ส่วนการถ่ายแบบ Time Lapse, Slow Motion ก็ยังมีอยู่เช่นเคย
นอกจากนี้กล้องหน้า Face Time Camera ก็มีการปรับไปเป็น 5 ล้านพิกเซล (จากเดิม 1.2 ล้านพิกเซล) เพื่อให้การถ่ายเซลฟี่ออกมาสวยและมีความละเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นอย่าง Live Photo ที่จะช่วยเก็บภาพเคลื่อนไหว ก่อนและหลังภาพนิ่งที่เราถ่าย ทำให้ภาพถ่ายของเราดูมีชีวิต (อันนี้ยี่ห้ออื่นก็มีนะ) อีกสิ่งหลักที่เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็คือตัวประมวลผล CPU ที่อัพมาใช้ CPU รุ่น A9 ซึ่ง Apple อ้างว่าการประมวลผลจะเร็วขึ้น 70% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และการประมวลผลกราฟฟิคจะเร็วขึ้น 90% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และยังมาพร้อมกับชิพจับความเคลื่อนไหวและเซ็นเซอร์ต่างๆ ของเคลื่อน อย่างชิพ M9 และลึกลงไปกว่านั้น iPhone ใหม่นี้มาพร้อมกับ RAM 2 GB ซึ่งถือว่ามากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา และเพียงพอต่อการทำงานบน iOS 9 ที่ออกมาในปีนี้ (อย่าเอา RAM 4 GB ของ Android มาเทียบนะครับ มันวิ่งกันอยู่บนคนละ OS ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า iOS นั้นกินทรัพยากรหน่วยความจำน้อยกว่า Android OS หลายเท่าตัวนัก)
นอกจากนี้ iPhone ใหม่ยังมีการพัฒนา Touch ID ปุ่ม Home ให้ทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่าเดิมมากมายครับ ส่วนในภาค Cellular ก็รองรับเทคโนโลยี LTE Advanced ครอบคลุมถึง 23 ย่านความถี่ที่ใช้บนโลกเราเลย และให้ความเร็วสูงสุด 300 Mbps กันไปเลย มาพร้อม WiFi Dual Band ที่มี MiMo ฟีเจอร์ สามารถรองรับความเร็วสูงสุด 866 Mbps เรียกง่ายๆ ว่าเป็น iPhone ที่ทรงพลังที่สุดที่ Apple เคยพัฒนากันมาเลยครับ
ถ้าใช้ iPhone 6, iPhone 6 Plus อยู่ น่าอัพเกรดไหม หรือใช้ตัวเดิมไปก่อน
การเปิดตัว iPhone ใหม่ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ จะเผชิญคือ คาดว่าราคาจะแพงกว่าปีก่อนแน่ๆ แต่จะมากน้อยแค่ไหน ต้องรอดูการเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ สิ่งที่เป็นแบบนี้เพราะว่าช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนเงินของไทยต่อดอลล่าห์สหรัฐนั้น บาทไทยเราอ่อนลงมา ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 เหรียญสหรัฐปาเข้าไปที่ 36-37 บาทเข้าไปแล้ว หนีไม่ได้แน่นอน ถึงแม้ต้นทุนของ iPhone ใหม่ที่เป็นเงินเหรียญจะเท่าปีที่แล้ว แต่ปีก่อนนั้นเราคูณด้วยอัตรา 30-31 บาทต่อเหรียญ พูดง่ายๆ ว่าเงินบาทอ่อนลงไป สินค้าแพงขึ้นแน่นอน ยกเว้นแต่ Apple Thailand จะพยายามคงต้นทุนที่เป็นเงินบาทให้อยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน (แต่เชื่อว่าไม่น่าได้) เพราะฉะนั้น iPhone 6s, iPhone 6s Plus ปีนี้จะแพงกว่าเดิมแน่นอน (ผมคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 6-10%)
ทีนี้กลับมาที่คำถามยอดฮิตสำหรับคนที่ใช้ iPhone อยู่แล้วว่า ควรซื้อใหม่ไหม ถ้าสำหรับแฟนและสาวกพันธุ์แท้ของ Apple ก็บอกได้เลยว่า ซื้อไปเถอะ เพราะฮาร์ดแวร์อัพเกรดใหม่แทบทั้งตัว ดีไซน์ก็สวยเหมือนเดิมแถมแข็งแรงขึ้นเยอะ และยังมีสีใหม่ที่ซื้อไปแล้วคนอื่นรู้เลยว่า ตัวใหม่นี่นา ฮ่าๆๆ สำหรับคนที่คิดก่อนซื้อ และใช้เหตุและผลในการเลือกซื้อสินค้าใหม่ให้กับตัวเอง ถ้าคุณใช้ iPhone 6, iPhone 6 Plus อยู่ ผมก็จะบอกว่าไม่เปลี่ยนก็ยังโอเคนะ iPhone เป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ทนทายาทและใช้ได้นานหลายปี (ถ้าคุณไม่ทำหล่น ทำแตก ตกน้ำเสียก่อน) เพราะเหตุผลคือดีไซน์นั้นดูผิวเผินใครก็มองไม่ค่อยออก เพราะมันเหมือนเดิม ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ใช้สมาร์ทโฟนไม่เต็มมูลค่า (ซื้อมาร้อยใช้สิบบาท) ก็ยิ่งไม่แนะนำครับ ใช้ไปอีกปี แล้วรุ่นใหม่มาปีหน้าพร้อมกับการเป็น Major Change หรือเปลี่ยนดีไซน์ ถึงตอนนั้นก็น่าจะคุ้มสำหรับคุณครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้สมาร์ทโฟน แบบคุ้มทุกบาททุกสตางค์เมมเต็มตลอด อยู่กับโทรศัพท์ได้ไม่เคยห่างตัว ทำอะไรก็ใช้ iPhone เป็นเลขาฯ ส่วนตัวแบบนั้น ผมก็ยุให้เปลี่ยนนะครับ เพราะสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่ใน iPhone 6s, iPhone 6s Plus มันน่าสนใจและให้ประสบการณ์ในการใช้ดีขึ้นอีกมากมายครับ สำหรับคนที่ใช้ iPhone รุ่นเก่ากว่านั้นอย่าง iPhone 5s, iPhone 5, iPhone 5c, iPhone 4s ก็จะบอกว่าเปลี่ยนเถอะครับ มันเก่ามากแล้ว เพียงแต่ว่าคุณมีทางเลือกได้ถึง 2 ทางคือ จะไป iPhone 6, iPhone 6 Plus ที่เพิ่งปรับราคาลงมาแล้วเพราะเป็นรุ่นปีก่อน หรือจะใหม่ล่าสุดไปเลยอย่าง iPhone 6s, iPhone 6s Plus ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าครับ ยกเว้นว่าเสียดายกลัวตกรุ่นอีกแล้วอยากรอ…ก็รอต่อไปต่อไปต่อไปและต่อไป แล้วกันนะครับ (ไม่สนใจละ…เช๊อะ!!)
ทางเลือกอื่นถ้าเราไม่ซื้อ iPhone 6s, iPhone 6s Plus ล่ะ
สำหรับคนที่อาจจะเกลียด Apple เข้าไส้ หรือคิดว่า iPhone ขายแพงตลอด หรืออาจมีประสบการณ์กับ iPhone ที่ไม่ดีมา แน่นอนคุณย่อมไม่คิดจะซื้อ iPhone แน่ๆ หรือบางคนรู้สึกว่ามันแพงไป อยากได้โทรศัพท์ระดับ หมื่นต้น หรือต่ำหมื่น ฟังทางนี้ ถ้ามีงบประมาณในระดับเดียวกับ iPhone 6s, iPhone 6s Plus ผมแนะนำไปที่ Samsung Galaxy Note 5, Galaxy S6 Edge+ หรือแม้แต่ LG G4 ก็น่าสนใจเหมือนกัน แต่ถ้ามองดูในระดับราคาต่ำกว่าสองหมื่นบาท ทางเลือกเยอะมากๆ ไล่ตั้งแต่ Samsung Galaxy A8, OPPO R7 Plus, Vivo X5 Pro, OPPO R7 Lite เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน หรือถ้ามองไปต่ำกว่าหมื่นบาท ก็มี Samsung Galaxy J7, OPPO Mirror 5, Asus Zenfone 2, Asus Zenfone Selfie เป็นทางเลือกที่ดีน่าสนใจมากครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีงบประมาณมากนัก ก็อย่าเอาชีวิตไปผูกติดกับวัตถุที่แพงเกินตัวเลยนะครับ ยึดหลักคำสอนที่พ่อหลวงท่านตรัสไว้ว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” น่าจะเหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจของทุกๆ คนตอนนี้ที่สุดครับ
สำหรับแฟนๆท่านใดที่มีคำถาม สามารถติดตามมาได้ที่ twitter ของผม @peter2514 นะครับ ส่วน facebook
ตามมาได้ที่ จะติดตาม Instagram ก็ Search หา ID “peter2514” ได้นะครับ แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะครับ ขอบคุณทุกการติดตามครับ