สวัสดีครับ พบกับผมเช่นเคย ปีเตอร์กวง ควงมือถือ พิธีกรรายการ “ล้ำหน้าโชว์” ซึ่งรายการนี้ผลิตและสร้างสรรค์โดย บริษัท ล้ำหน้าโชว์ จำกัด ที่เราทั้งสาม (พี่หลาม ปีเตอร์กวง อาจารย์ศุภเดช) ได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยกันเพื่อให้ผู้ชมได้บริโภคสาระดีๆ ที่ให้ความรู้ด้านไอทีและเทเลคอม บวกกับความบันเทิงตามสไตล์แบบของพวกเราไปด้วย โดยออกอากาศทางช่อง Nation Channel (เนชั่นแชนแนล) รับชมได้ที่ช่อง 22 ทั้งทางทีวีดิจิตอลและทีวีดาวเทียม ทุกวันอาทิตย์ ออกอากาศสดเวลา 15:00-16:00 อยากให้ติดตามกันเยอะๆ นะครับ แล้วบ่ายวันอาทิตย์ของคุณ จะมีความหมายมากกว่าเดิม…
สำหรับตัวผมเองก็ยังประจำการใน WhatPhone ทุกเดือนเหมือนเช่นเคยครับ เพื่อไขข้อข้องใจและเก็บตกข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงการเทเลคอม ทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ สำหรับบทความนี้มาพูดกันเรื่อง การเปิดตัวของ iPhone 8 และ iPhone X จาก Apple แชมป์ยอดขายสมาร์ทโฟนระดับ High-End ของตลาดโลก
เปิดตัวพร้อมกันชุดใหญ่ ตั้งแต่ Apple Watch, Apple TV และ iPhone ใหม่
การเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple ในเดือนกันยายน ถือว่าเป็นเวลาที่ทุกคนทั่วโลกจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นคนในสายอาชีพอะไร ทำงานอะไร อายุเท่าไร เด็กหรือผู้ใหญ่ หรือยังเป็นนักเรียนนักศึกษา ปีนี้ก็เป็นอีกวาระหนึ่งที่ผู้คนจับตามอง Apple เป็นพิเศษในอุตสาหกรรม Telecom เพราะการมาของ iPhone ใหม่ที่มีข่าวลือว่าจะออกมาฉลองการครบรอบ 10 ปีของ Apple iPhone นับตั้งแต่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรกเมื่อ 29 มิถุนายน 2007 งานนี้ Apple ได้เชิญสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลกให้มาร่วมงานที่ สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple ที่ Apple Park ณ ห้องประชุมใหญ่ที่ชื่อว่า “Steve Jobs Theater” ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้ง Apple นั่นก็คือ Steve Jobs นั่นเอง
ซึ่งงานนี้ได้ทำให้ผู้คนได้เห็นส่วนหนึ่งของสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ (ที่เรามักเรียกติดปากว่า ยานแม่) ของ Apple ได้อย่างใกล้ชิด ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของการเปิดตัวในปีนี้ด้วยบรรยากาศอันน่าตื่นเต้น การเปิดตัวเริ่มจาก Apple Watch Series 3 ที่งานนี้ผู้คนรอคอยกันมานานว่าจะเปลี่ยนอะไรในดีไซน์หรือไม่ ผลก็คือ ไม่ได้เปลี่ยนแบบดีไซน์อะไรมากนัก แต่ทำให้เก่งกว่าเดิม ดีกว่าเดิม และเป็นการทำให้ Apple Watch สามารถทำงานภายใต้เทคโนโลยี 4G LTE ได้แล้วโดยใช้ eSIM (Electronic SIM) ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการใช้ eSIM กับอุปกรณ์ 4G LTE โดย Apple Watch Series 3 นั้นไม่ต้องใส่ซิมจริงๆ เข้าไปเพราะมีเทคโนโลยี eSIM ในตัวแล้ว เพียงแต่ผู้ให้บริการต้องแน่ใจว่าระบบของตัวเองรองรับในการ Activate และทำให้ eSIM ใน Apple Watch ทำงานได้ ภายใต้เครือข่าย 4G LTE Cat.M1 โหมด นั่นเอง
ในส่วนของ 4G LTE Cat. M1 นั้น เครือข่ายในบ้านเราไม่ว่าจะเป็น AIS, DTAC, True Move H ต่างก็พร้อมกันหมดแล้วในการสนับสนุนเรื่องนี้ โดย LTE Cat.M1 ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 1 Mbps นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งาน ในรูปแบบอุปกรณ์ IoT หรือ Internet of Things นั่นเอง ผู้ใช้สามารถใช้ Apple Watch Series 3 ไปออกกำลังกายโดยไม่จำเป็นต้องมี iPhone ติดตัวก็ได้ ทำให้เราสามารถออกไปวิ่งพร้อมกับสตรีมเพลงผ่านระบบเครือข่าย LTE ไปในเวลาที่เราออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน และแน่นอนฟังก์ชั่นการวัดการตรวจจับการเคลื่อนไหว การวัดอัตราการเต้นของหัวใจก็ยังแม่นยำมากขึ้นกว่าเดิมและเก็บสถิติช่วยคอยเฝ้าระวังความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจของเราได้อีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นในดีไซน์ เรายังเห็นความแตกต่างแยกแยะกันที่ ปุ่ม Digital Crown หรือเม็ดมะยมดิจิตอล ที่เป็นสีแดงสด นั่นเป็นตัวบ่งบอกว่านี่คือ Apple Watch Series 3 นอกจากนี้ยังใส่ว่ายน้ำได้ทั้งน้ำจืดในสระว่ายน้ำ หรือน้ำเค็มในทะเล ก็ไม่ต้องกังวลใดๆ ในการต้องเผชิญกับน้ำหรือความชื้น
ขณะที่อีกไฮไลท์หนึ่งของคนที่ชอบดูทีวี นั่นก็คือ Apple TV ที่มาใหม่ด้วยการอัพเกรดเป็น Apple TV 4K เพื่อรองรับการดูหนัง ภาพยนตร์ กีฬา รายการทีวีต่างๆ ในรูปแบบความละเอียด 4K UHD (Ultra HD) รวมถึงการเล่นเกมต่างๆ ได้อย่างทีต้องการ โดยหนังในที่อยู่ในสารระบบของ iTunes Store ทั้งหมดจะอัพเกรดเป็น 4K เลย ส่วนที่ลูกค้าซื้อไปแล้ว ก็ได้อัพเกรดตามครับ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด ทำให้ความบันเทิงในบ้านที่ชมผ่าน Apple TV 4K ยิ่งให้ประสบการณ์ดีมากขึ้นไปอีก และสุดท้ายของงานก็ขาดไม่ได้ นั่นก็คือการเปิดตัว iPhone 8, iPhone 8 Plus คู่หูสุดแกร่ง และ iPhone X ที่เปิดตัวมาในวาระฉลองครบรอบ iPhone 10 ปีนั่นเอง
iPhone 8 Series มาแบบธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ทรงพลังทั้งการประมวลผลและกล้อง
การเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus นั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น ถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอก แน่นอนดีไซน์ หน้าตา ขนาด แทบเหมือนเดิมจริงๆ แตกต่างไปในเรื่องวัสดุที่ใช้ตรงที่จากเดิมนั้นเป็นโลหะขึ้นรูปทั้งตัว Unibody แต่คราวนี้แกนบอดี้ตรงกลางเป็นโลหะเบาอย่างอลูมิเนียมและด้านหลังเป็นกระจกที่ Apple เคลมว่าแข็งแรงที่สุดในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนนี้แล้ว ซึ่งตัวกระจกนั้นจะเชื่อมเข้ากับแกนโลหะได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำที่จะซึมเข้าไป แต่กระนั้นทาง Apple ก็ไม่บอกว่ากระจกนั้นผลิตโดยใคร แต่เชื่อได้ว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตกระจกอย่าง Gorilla Glass แน่นอน
ขณะที่ภายในของเครื่อง ฮาร์ดแวร์ต่างๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร โดยมี CPU ตัวใหม่อย่าง A11 Bionic ที่มีหน่วยประมวลผล 6 Core หรือ 6 แกนสมอง แรงกว่าตัว A10 Fusion เดิมพอสมควรเลย และยังมี Neural Engine ที่ช่วยประมวลผลจากพฤติกรรมการใช้ของผู้ใช้ เหมือนเป็น AI เล็กที่คอยเรียนรู้พฤติกรรมของเรา และช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น การคาดเดาการพิมพ์ข้อความ การจดจำภาพ ใบหน้า จากภาพที่เราถ่ายไว้ ช่วยให้การประมวลผลทำได้ฉลาดและรวดเร็วกว่าเดิม
ซึ่งจากการทดสอบกับ Antutu Benchmark แล้วนั้น ผมได้เห็นคะแนนของ iPhone 8, iPhone 8 Plus นั้นฉีกหนีคู่แข่งอย่าง Android ที่มีคะแนนอยู่ประมาณ 180,000 แต่ iPhone 8 ทั้งสองรุ่นนี้มีคะแนนจากการทดสอบสูงถึง 218,000 กันเลย ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังจริงๆ นะจะบอกให้ นอกจากนี้ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นแบบ Retina HD ให้คุณภาพสีแบบ True Tone Display ที่ให้ภาพสมจริงมากกว่าเดิม บนหน้าจอความละเอียดเท่าเดิม
ในส่วนของกล้องนั้น ไม่ได้แตกต่างจากเดิมในแง่ของความละเอียด แต่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีเซนเซอร์ตัวใหม่แบบ Deeper Pixels และฟิลเตอร์สีแบบใหม่ รูรับแสงคงเดิมสำหรับกล้อง iPhone 8 Plus ที่ F/1.8 + F/2.8 สำหรับ Wide และ Tele พร้อมระบบ OIS กันสั่นมาให้ด้วย การถ่ายภาพแบบ Portrait นั้นก็ได้แก้ไขแล้วอย่างเนียนกริบ โดยภาพที่ได้นั้นสามารถให้ความชัดลึกได้เป็นอย่างดี ให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ และยังปรับภาพให้สภาพแสงเป็นแบบสตูดิโอได้อย่างง่ายๆ
ส่วนการถ่ายวิดีโอก็ทำได้ดีมากกว่าเดิม ซึ่งวิดีโอนั้นสามารถรองรับการถ่ายในระดับความละเอียด 4K ที่ 60 fps (Frame per second) ส่วนภาพ Slow Motion ก็ทำได้ในระดับ Full HD (1080p) ที่ 240 fps เลยทีเดียว สำหรับกล้องหน้านั้นก็เป็น FaceTime HD ให้ความละเอียด 7 ล้าน F/2.2 ก็ถือว่าทำงานได้ดีกว่าเดิมมาก ไม่แปลกใจที่ทาง DxO Mark นั้นให้คะแนนกับกล้องของ iPhone 8 Plus สูงสุดในบรรดาสมาร์ทโฟนทั้งโลก (94 คะแนน) ด้วยคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ส่วน iPhone 8 ก็ได้มาเป็นอันดับสอง (92 คะแนน) ทิ้งแชมป์เก่าอย่าง HTC U11 และ Google Pixel ที่มี 90 คะแนนไปสบายๆ อีกสิ่งหนึ่งเป็นอนาคต (แต่คนอื่นก็มีแล้ว) นั่นก็คือการรองรับ AR (Augmented Reality) ที่งานนี้ Apple พยายามสาธิตให้เห็น โดยการนำเอามาสาธิตกับเกม ซึ่งต้องรอดูว่าจะนำมาเล่น มาใช้ได้ดีแค่ไหน แค่การสาธิตยังไม่เห็นภาพทั้งหมด เสียดาย Apple ไม่ได้มุ่งไปที่ VR (Virtual Reality) แต่อย่างใด
สุดท้ายท้ายสุดก็คือเรื่องการรองรับ Wireless Charge ได้แล้วซึ่ง Apple เลือกที่จะไปตามมาตรฐาน Qi Wireless Charging ซึ่งเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมอยู่แล้ว อันนี้ขอปรบมือให้ครับ เยี่ยมๆ อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณอยากจะใช้ Wireless Charging คุณก็ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นะครับ โดยภาพรวมของ iPhone 8 / 8 Plus รูปลักษณ์คล้ายๆเดิม แต่เปลี่ยนฮาร์ดแวร์ไปมากพอสมควร ซื้อแล้วรู้สึกได้ว่า มันเจ๋งขึ้นดีขึ้นใหม่กว่าเดิม เพียงแค่หน้าตาเท่านั้นที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้ว่าเราถือของใหม่ เว้นแต่ว่าคุณจะถือมันไปโดยไม่ใส่เคสป้องกัน
iPhone X สิ่งนี้หรือคือ สมาร์ทโฟนแห่งอนาคต…?
เป็นครั้งแรกที่ Apple ได้กล้าหาญในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกในแง่ของการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ขึ้นอีกครั้ง สมกับการเฉลิมฉลอง 10 ปี iPhone ด้วยสิ่งนี้ iPhone X การมาของ iPhone X ทำให้เกิดความสงสัยมากมายว่า สาวกควรจะเลือกซื้อ iPhone X มากกว่า iPhone 8 / 8 Plus หรือป่าว อันนี้ก็ต้องบอกว่า แล้วแต่เงินในกระเป๋านะครับ ในแง่การใช้งานประสิทธิภาพมันพอๆ กัน สิ่งที่น่าสนใจของ iPhone X นั้นเริ่มมาจากหน้าจอ OLED ที่เป็นครั้งแรกที่ Apple เลือกใช้หน้าจอแบบนี้ โดยได้ความละเอียดระดับ 2436 x 1125 พิกเซล ซึ่ง Apple เรียกมันว่า Super Retina Display บนหน้าจอขนาดใหญ่กว่าที่เคยทำมาคือ 5.8” (ใหญ่กว่า iPhone 8 Plus) หน้าจอเต็มขอบซ้ายขวา บนล่าง แต่ตรงข้างบนติดเว้านิดนึงให้กับ กล้อง เซนเซอร์ และลำโพง หน้าจอตัวนี้นั้นมีการแสดงผลแบบ HDR 10, Dolby Vision ให้ภาพสมจริงมากเวลาที่ชมภาพยนตร์ด้วยตาเปล่าของเรา
นอกจากนี้แล้วยังแสดงผลแบบ True Tone ที่ให้ภาพคมชัดสมจริง ตัวเครื่องเป็นสเตนเลสสตีล ให้ความแข็งแรงทนทานและขัดเงาแบบโค้งมน รับกับหน้าจอที่โค้งไร้ขอบได้ดี ส่วนด้านหลังก็เป็นกระจกที่แข็งแรงทนทานเช่นกัน มาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น เช่นเดียวกับ iPhone 8 / 8 Plus ด้านหน้าไม่มีปุ่ม Home แล้ว ไม่มี Touch ID แต่เปลี่ยนมาเป็นการสแกนใบหน้า Face ID ที่ Apple บอกว่ามันป้องกันความปลอดภัยได้ในระดับ 1 : 1,000,000 เลยทีเดียว ซึ่งไม่สามารถใช้ภาพใบหน้าเรามาปลดล็อคได้ เพราะการสแกนนั้นเป็นแบบ 3 มิติบนใบหน้าด้วยกล้องหน้าแบบใหม่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์อินฟราเรด คู่กับ Flood illuminator และ Dot Projector ทำให้การสแกนหน้าแบบ 3 มิตินั้นทำงานได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าเจ้าของเครื่องจะใส่วิก มีหนวด มีเครา โกนหัว ก็ตาม เครื่องก็ยังสามารถสแกนได้อย่างแม่นยำไม่เปลี่ยน
ส่วน CPU ก็มารุ่นเดียวกับ iPhone 8 / 8 Plus นั่นก็คือ A11 Bionic Neural Engine แบบ 6 แกนสมอง ทำให้การประมวลผลนั้นทรงพลังกว่าสมาร์ทโฟนใดๆ บนโลกนี้ในเวลานี้ ยังมีอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจนั่นคือ Animoji ที่เปลี่ยนหน้าอารมณ์ Emoji ด้วยหน้าของเราให้ขยับตามสีหน้าอารมณ์ของเราได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะยิ้ม โกรธ หัวเราะ ขมวดคิ้ว ก็ตาม แถมยังบันทึกเสียงเป็นวิดีโอเคลื่อนไหวไปได้พร้อมกัน แล้วสามารถส่งไปได้ทาง iMessage ให้เพื่อนๆ ที่ถือ iPhone ด้วยกันเท่านั้น (แอบเซ็ง)
ในส่วนของกล้องคู่ด้านหลังแบบ 12 ล้านพิกเซล Dual OIS ทำให้ป้องกันการสั่นได้อย่างสุดยอด เหนือกว่าเลนคู่บน iPhone 8 Plus ก็ตรงนี้แหละ ส่วนสเปคปลีกย่อยก็ไม่ต่างกัน ในการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ ก็ทำได้ไม่ต่างจาก iPhone 8 Plus สำหรับกล้องหน้า จะเด่นกว่าด้วยการถ่ายภาพ Portrait ได้ด้วยทำให้กล้องทั้งหน้าและหลังของ iPhone X นั้นแจ่มกว่า iPhone 8 Plus อย่างแน่นอน ถ้า DxO Mark ทดสอบเมื่อไร ผมว่าคะแนนน่าจะขยับแซงหน้า iPhone 8 Plus ชัวร์ๆ สิ่งอื่นๆ ก็มีคล้ายๆ กับ iPhone 8 Plus ไม่ว่าจะเป็นการกันน้ำกันฝุ่น การรองรับการชาร์จไร้สาย จะมีแต่ราคานี่แหละ ทีต้องคิดกันหนัก เอาแค่ความจุ 64 GB ราคาก็น่าจะหนักพอดูแล้ว ส่วนความจุ 256 GB ก็น่าจะต่างกันกว่า 5,000-6,000 บาท
แล้วเราควรจะเปลี่ยนไหม ควรจะซื้อไหม
ต้องบอกว่า การมาของ iPhone ในปี 2017 นั้น ดูแล้ว iPhone X น่าจะถูกใจสาวก iPhone มากที่สุด แต่ราคานี่สิ น่าจะเป็นตัวตัดสินอีกทีว่าจะรับกันไหวไหม ชอบอันไหนก็ลองเลือกกันดูตามสถานะของความหนาของกระเป๋าสตางค์ของท่านนะครับ หรือไม่ก็ยังมี Android ระดับ High-End ต่างๆ ให้เลือกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy S8+, Note 8 หรือจะเป็น Huawei Mate 10 Pro ที่กำลังเปิดตัวเร็วๆนี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าคุณไม่มายด์ว่า ต้องเป็น iPhone มันยังมีทางเลือกดีๆ อีกเยอะครับ แต่ถ้าใจมันเป็น Apple พูดยังไงก็คงไม่มีผล เลือกกันไปตามอัตภาพของท่านผู้อ่าน แล้วกันครับ ซื้อมาทีก็ต้องใช้กันเป็นปีๆ อย่าได้กังวลไปเลย เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้มันวิ่งเร็วจนตามกันไม่ทันแล้ว สุดท้ายนี้อย่างสุภาษิตที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ” ก่อนซื้อลองแวะไปทดลองตามร้านขายมือถือใหญ่ๆ อย่าง iStudio Shop, dtac shop, AIS shop, True Move H shop, TG Fone, Jaymart, CSC และอีกมากมายทั่วประเทศ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ จะได้รู้ว่าสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone X นั้นอะไรคือสมาร์ทโฟนแบบที่คุณตามหาอยู่หรือไม่