สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และระบบปฏิบัติการ iOS มักจะถูกเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยครั้ง และในครั้งนี้เราจะมาเปรียบมวยทั้งสองระบบปฏิบัติการด้วยสมาร์ทโฟนที่พึ่งจะเปิดตัวไปอย่าง Samsung Galaxy S20 FE เป็นตัวแทนในฝั่งแอนดรอยด์ และ iPhone 12, iPhone 12 mini เป็นตัวแทนในฝั่ง iOS ซึ่งเราถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่สุดในเวลานี้ มาดูกันเลยว่าทั้ง 3 รุ่นจะเป็นอย่างไร
รองรับเครือข่าย 5G ทั้ง 3 รุ่น
การรองรับเครือข่ายการใช้งานนั้น Galaxy S20 FE จะมีให้เลือก 2 รุ่น นั่นก็คือรุ่น 4G LTE และ 5G แต่สำหร้บ iPhone 12 และ 12 mini จะมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวคือรุ่น 5G ซึ่งหากเรายังไม่จำเป็นต้องใช้งาน 5G ก็อาจจะเลือก Galaxy S20 FE ในรุ่น 4G LTE จะช่วยประหยัดไปได้ถึง 3,000 บาทเลยทีเดียว แต่สำหรับ iPhone 12 ไม่มีให้เลือก จะต้องเลือกเป็นรุ่น 5G เท่านั้น
จอแสดงผล และรอยบากบนหน้าจอ
จอแสดงผลของทั้ง 3 รุ่นจะเห็นได้ว่า Galaxy S20 FE จะมีขนาดใหญ่กว่าที่ 6.5 นิ้ว ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะมีขนาด 6.1 และ 5.4 นิ้วตามลำดับ หากเทียบขนาดจะเห็นได้ว่า Samsung มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ก็ได้จอแสดงผลที่ใหญ่กว่า และด้วยขอบของหน้าจอที่บางกว่า จึงทำให้ใช้พื้นที่ด้านหน้าได้เต็มประสิทธิภาพกว่า
อีกหนึ่งจุดที่น่าสังเกตคือรอยบากของหน้าจอ ซึ่ง iPhone ทั้ง 2 รุ่นยังคงมีรอยบากที่มีขนาดใหญ่แบบเดิมตั้งแต่ iPhone X แล้ว โดยส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย แต่สำหรับ Galaxy S20 FE จะมีเพียงกล้องแบบเจาะรูซึ่งกินพื้นที่บนหน้าจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
สำหรับความละเอียดหน้าจอ iPhone 12 ทั้งสองรุ่นได้อัพเกรดเป็นจอแสดงผลแบบ Super Retina Display XDR โดย iPhone 12 มีความละเอียดอยู่ที่ 1170 x 2532 พิกเซล และ iPhone 12 mini มีความละเอียดที่ 1080 x 2340 พิกเซล สำหรับ Galaxy S20 FE มีความละเอียดอยู่ที่ 1080 x 2400 พิกเซล ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่หลายๆ คนคาดหวังกับ iPhone 12 นั่นก็คือหน้าจอแสดงผล 120 Hz และเมื่อถึงเวลาเปิดตัวกลับแสดงผลได้เพียง 60 Hz เท่านั้น ต่างจาก Galaxy S20 FE ที่สามารถเลือกได้ว่าจะแสดงผล 120 Hz หรือ 60 Hz เพื่อประหยัดพลังงาน
หน่วยประมวลผลระดับ Flagship ต่างกันที่ Platform
สมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นใช้หน่วยประมวลผลระดับ Flagship กล่าวคือ Galaxy S20 FE ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลที่แรงที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แต่ iPhone 12 ทั้งสองรุ่นใช้หน่วยประมวลผล Apple A14 Bionic ซึ่งก็เป็นหน่วยประมวลผลที่แรงที่สุดของฝั่ง iOS ด้วยเช่นกัน
ในด้านความแรงตอนนี้ยังไม่มีการทดสอบความเร็วเป็นตัวเลขออกมาอย่างชัดเจน แต่ในด้านสถาปัตยกรรมการผลิตนั้น Apple A14 Bionic ใช้สถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตร แต่ทางฝั่ง Snapdragon 865 ใช้สถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ส่วนในเรื่องของแกนประมวลผลนั้น Snapdragon 865 มีมากกว่าที่ 8 แกนประมวลผล ส่วน Apple A14 Bionic มีเพียง 6 แกนประมวลผลเท่านั้น อย่างไรก็ดี ระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน หน่วยประมวลผลที่ใช้ก็อาจจะแตกต่างกันตามสถาปัตยกรรมการออกแบบซอฟท์แวร์ด้วย
สำหรับหน่วยความจำ Galaxy S20 FE มีให้เลือกตั้งแต่ 128 GB ไปจนถึง 256 GB ส่วน iPhone 12 ทั้งสองรุ่นก็มีให้เลือกหน่วยความจำขนาด 64, 128 และ 256 GB แต่ Galaxy S20 FE จะได้เปรียบตรงที่เพิ่มการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้สูงสุดถึง 1 TB เลยทีเดียว
กล้องหน้า และกล้องหลัง
กล้องถ่ายภาพด้านหลังของทั้ง 3 รุ่นจะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ 2 เลนส์นั่นก็คือเลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์ Wide และอีกเลนส์ Ultra-wide ความละเอียดเท่ากันที่ 12 ล้านพิกเซล แต่เลนส์ Ultra-wide ของ Galaxy S20 FE จะมีมุมที่กว้างกว่าที่ 123 องศา แต่เลนส์ Ultra-wide ของ iPhone 12 จะมีความกว้าง 120 องศา นอกจากนี้ Galaxy S20 FE ยังมีเลนส์ Telescope เพิ่มเข้ามารวมทั้งหมดเป็น 3 เลนส์ โดยเลนส์ Telescope มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 เท่า ในขณะที่ iPhone 12 จะซูมได้เฉพาะแบบ Digital
กล้องหน้าของ Galaxy S20 FE มีความละเอียดสูงกว่าที่ 32 ล้านพิกเซล แต่ของ iPhone 12 จะมีความละเอียดมาให้เพียง 12 ล้านพิกเซลเท่านั้น
ระบบรักษาความปลอดภัย
ระบบรักษาความปลอดภัยของ Galaxy S20 FE จะมีให้เลือกใช้งาน 2 แบบ นั่นก็คือระบบสแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่บนหน้าจอ และระบบสแกนใบหน้า ส่วน iPhone 12 จะมีเพียงระบบสแกนใบหน้ามาให้เท่านั้น ไม่มีระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ แต่ระบบสแกนใบหน้าของ iPhone 12 จะทำการปลดล็อคได้ทั้งกลางวัน และกลางคืนในที่มืดด้วยเซ็นเซอร์หลายตัวที่อยู่เหนือจอแสดงผล แต่หากใส่แมสก์ หรือหน้ากากอาจจะลำบากพอสมควร แต่สำหรับ Galaxy S20 FE ระบบสแกนใบหน้าจะมีจุดด้อยตรงที่หากอยู่ในที่มืด หรือใส่แมสก์จะสแกนใบหน้าไม่ได้ แต่ก็ยังคงสแกนลายนิ้วมือได้เช่นกัน
อุปกรณ์ในกล่อง
อีกจุดหนึ่งที่ต้องพิจารณาใน iPhone 12 นั่นก็คืออุปกรณ์ในกล่องที่มีเพียงสายชาร์จแบบ USB-C to Lightning มาให้ เชื่อว่าผู้ใช้ส่วนมากจะยังไม่มีอแดปเตอร์พอร์ต USB-C ซึ่งจะต้องซื้อเพิ่มอย่างแน่นอน เพราะไม่่สามารถชาร์จกับอแดปเตอร์รุ่นเก่าๆ ที่ใช้พอร์ต USB-A ได้ โดยผู้ใช้จะต้องซื้ออแดปเตอร์เพิ่มในราคา 690 บาท จึงจะชาร์จแบบเร็วด้วยกำลังไฟ 20 วัตต์ได้
แต่สำหรับ Galaxy S20 FE จะมีสาย USB-C พร้อมอแดปเตอร์กำลังไฟ 25 วัตต์มาให้ในกล่อง ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่ม แกะกล่องก็สามารถชาร์จเร็วได้ทันที สำหรับการชาร์จด้วยระบบไร้สาย ทั้ง 3 รุ่นก็รองรับด้วยกำลังไฟ 15 วัตต์เท่ากัน
อีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมักจะมองข้าม นั่นก็คือฟิล์มกันรอย โดย Samsung Galaxy S20 FE จะมีติดมาให้พร้อมจากโรงงาน ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อเพิ่ม ส่วน iPhone 12 จะมีเพียงฟิล์มป้องกันตัวเครื่องมาให้เท่านั้น หากจะใช้งานก็ต้องถอดออกอยู่ดี
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ
ในด้านของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S20 FE มีความจุมาให้ 4,500 mAh แต่สำหรับ iPhone 12 ยังไม่มีการระบุความจุเป็นตัวเลขออกมาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะน้อยกว่า Galaxy S20 FE เพราะตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่นั้น Galaxy S20 FE ชาร์จได้เร็วกว่าทั้งแบบเสียบสายด้วยกำลังไฟ 25 วัตต์ และแบบไร้สาย 15 วัตต์ แต่สำหรับ iPhone 12 ทั้ง 2 รุ่นรองรับกำลังไฟ 20 วัตต์ ซึ่งต้องซื้ออแดปเตอร์เพิ่มอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว และสำหรับการชาร์จแบบไร้สายก็รองรับกำลังไฟ 15 วัตต์ แต่สำหรับ iPhone 12 จะมีระบบชาร์จไร้สายแบบ MagSafe ซึ่งเป็นแม่เหล็กที่จะช่วยยึดตัวเครื่องกับแท่นชาร์จไร้สายให้ตรงตำแหน่ง หมดปัญหาเรื่องวางกับแท่นชาร์จไร้สายไม่ตรงตำแหน่ง
นอกจากนี้ Samsung Galaxy S20 FE ยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่น Smart Watch, หูฟัง Galaxy Buds หรือสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นๆ ได้อีกด้วย แต่สำหรับ iPhone 12 นั้นยังไม่รองรับการแชร์
Galaxy S20 FE มีให้เลือก 6 สี, iPhone 12 มีให้เลือก 5 สี
สำหรับสีของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S20 FE มีให้เลือก 6 สี ได้แก่สี Cloud Mint, Cloud Navy, Cloud Lavender, Cloud Red, Cloud Orange และ Cloud White
ส่วน iPhone 12, iPhone 12 mini มีให้เลือก 5 สี ได้แก่สี ดำ, ขาว, (PRODUCT)RED, เขียว, น้ำเงิน ชอบสีไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลยครับ
ตารางเปรียบเทียบสเป็ค
Samsung Galaxy S20 FE | iPhone 12 | iPhone 12 mini | |
เครือข่าย | 3G, 4G LTE, 5G | 3G, 4G LTE, 5G | 3G, 4G LTE, 5G |
หน้าจอ | หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล แสดงผล 120 Hz |
หน้าจอแบบ Super Retina XDR OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซล แสดงผล 60 Hz |
หน้าจอแบบ Super Retina XDR OLED ขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล แสดงผล 60 Hz |
กล้องหน้า | 32 ล้านพิกเซล f/2.2 | 12 ล้านพิกเซล f/2.2 | 12 ล้านพิกเซล f/2.2 |
กล้องหลัง | กล้องหลัง 3 เลนส์ – กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 – กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา – กล้อง Telephoto 8 ล้านพิกเซล f/2.4 |
กล้องหลัง 2 เลนส์ – กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.6 – กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา |
กล้องหลัง 2 เลนส์ – กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.6 – กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา |
ชิปประมวลผล | Qualcomm Snapdragon 865 Octa-core | Apple A14 Bionic Hexa-core | Apple A14 Bionic Hexa-core |
RAM และ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล | RAM 8 GB, ROM 128/256 GB | ROM 64/128/256 GB | ROM 64/128/256 GB |
หน่วยความจำภายนอก | รองรับ MicroSD Card 1 TB | – | – |
ระบบปฏิบัติการ | One UI 2.5 บนพื้นฐาน Android 10 | iOS 14 | iOS 14 |
แบตเตอรี่ | ความจุ 4500mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W ชาร์จไร้สาย 15W |
ความจุ (ไม่ระบุ) รองรับชาร์จเร็ว 20W ชาร์จไร้สาย 15W |
ความจุ (ไม่ระบุ) รองรับชาร์จเร็ว 20W ชาร์จไร้สาย 15W |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4+5GHz Bluetooth 5.0 USB type-C NFC |
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz Bluetooth 5.0 Lightning NFC |
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz Bluetooth 5.0 Lightning NFC |
ราคา | เริ่มต้น 20,900 บาท รุ่น LTE เริ่มต้น 23,900 บาท รุ่น 5G |
เริ่มต้น $799 (ประมาณ 25,000 บาท) | เริ่มต้น $699 (ประมาณ 22,000 บาท) |