โดยปกติแล้วในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่สมาร์ทโฟน Flagship เริ่มทะยอยเปิดตัว และวางจำหน่ายทั้งในตลาดโลก และในไทย ผู้ใช้อย่างเราๆ ก็อดที่จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่ารุ่นไหนดีกว่า ด้อยกว่าอย่างไร และในครั้งนี้สมาร์ทโฟนจากฝั่ง Samsung อย่าง Galaxy Z Fold3, Galaxy Z Flip3 และฝั่ง Apple ก็เปิดตัว iPhone 13 กันไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าทางฝั่ง Apple จะยังไม่มีวางจำหน่าย แต่เราก็พอจะทราบรายละเอียด และสเป็คอย่างเป็นทางการของ iPhone 13 Pro มาดูกันว่าสมาร์ทโฟน Flagship ในปีนี้จะมีนวัตกรรมอะไรมาให้เราได้เปรียบเทียบกันบ้าง มาดูกันเลยครับ
สมาร์ทโฟน Flagship กับรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่าทั้ง 3 รุ่นที่เรานำมาเปรียบเทียบ แต่ละรุ่นก็มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Samsung ทั้งสองรุ่นเป็นหน้าจอแบบพับได้ ถือเป็นเทรนด์ใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนในอนาคต ส่วน iPhone 13 Pro ยังคงมีดีไซน์เป็นแท่งแบบดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า Bar Type ซึ่งดีไซน์นี้มีใช้กันมาอย่างยาวนานนับสิบปี
มาดูรูปแบบการใช้งานของ Samsung Galaxy Z Fold3 กันก่อน สำหรับรุ่นนี้ถือว่ามีรูปแบบการใช้งานที่เราสามารถนำมาใช้ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- การใช้งานในรูปแบบของสมาร์ทโฟนธรรมดาโดยใช้จอแสดงผลด้านหน้า สามารถใช้งานได้เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไป
2. การใช้งานในโหมดแท็บเล็ต เพียงแค่เปิดฝาพับออกมาก็สามารถนำมาใช้เป็นแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาดย่อมได้ เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการพื้นที่ในการแสดงผลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการพรีเซนต์งานกับลูกค้า การเปิดดูเวบไซต์หาข้อมูลต่างๆ ที่แทบจะไม่ต่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจะนำมาใช้เพื่อความบันเทิงอย่างเช่นดูคลิปวิดีโอ ภาพยนตร์ หรือเปิดดู YouTube ก็สามารถดูได้อย่างเต็มตา นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปากกา S Pen วาดรูป หรือจดบันทึกต่างๆ ได้อีกด้วย เสร็จแล้วก็พับหน้าจอเก็บให้เล็กลงเพื่อให้สะดวกในการพกพา
3. การใช้งานในรูปแบบ Flex mode ซึ่งในโหมดนี้นำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพับหน้าจอตั้งไว้สำหรับถ่ายเซลฟี่, ใช้งานในการประชุมออนไลน์ โดยพับจอไว้ครึ่งบนสำหรับแสดงภาพผู้เข้าประชุม และครึ่งล่างสำหรับการจดบันทึกการประชุมโดยใช้ปากกา S Pen เหมือนเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขนาดเล็กที่พกพาไปใช้งานได้ทุกที่
จะเห็นได้ว่า Galaxy Z Fold3 นั้นสามารถปรับโหมดการใช้งานในแบบต่างๆ ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกไลฟ์สไตล์ อีกทั้งยังเสริมศักยภาพการใช้งานได้ด้วยปากกา S Pen อีกด้วย ถือว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตที่สามารถครอบครองได้ตั้งแต่วันนี้เลยก็ว่าได้
Samsung Galaxy Z Flip3 สมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์สายแฟชั่นที่ Samsung เคยทำสำเร็จมาแล้วกับโทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ และมาถึงยุคสมาร์ทโฟนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน Samsung ก็พยายามพัฒนาหน้าจอสมาร์ทโฟนให้พับได้ มาถึงรุ่นที่ 3 ที่พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกลงมาอีกด้วย สำหรับการใช้งานนั้น Galaxy Z Flip3 มีความสะดวกสบายในการพกพา เพราะมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของสมาร์ทโฟนทั่วไป
ในการใช้งานนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเปิดฝาพับออกมาบ่อยๆ เพราะด้านหน้ามีจอแสดงผลขนาดเล็กในการแสดงผลนาฬิกา รวมไปถึงการแจ้งเตือนต่างๆ และหากต้องการดูการแจ้งเตือนแบบเต็มๆ ก็สามารถเปิดฝาพับขึ้นมาดูได้เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป นอกจากนี้จอแสดงผลด้านหน้ายังใช้ถ่ายภาพด้วยกล้องหลักที่อยู่บนฝาพับได้อีกด้วย
ในการใช้งาน Flex mode ก็สะดวกในการใช้งานทั้งการตั้งถ่ายภาพเซลฟี่, ใช้ประชุมออนไลน์ หรือใช้งานเพื่อความบันเทิงอย่างการใช้ตั้งดูคลิปวิดีโอ ภาพยนตร์ หรือ YouTube ก็ทำได้สะดวกโดยไม่ต้องหาที่ตั้งมือถือมาวาง ถือว่าเป็นโหมดการใช้งานที่มีประโยชน์ และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
สำหรับ iPhone 13 Pro ก็ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนในรูปแบบเดิม และยังมีดีไซน์ที่ไม่ต่างจาก iPhone 12 รุ่นก่อนมากนัก การใช้งานก็สามารถใช้งานได้ในรูปแบบเดียว ซึ่งอาจจะไม่ต้องอธิบายรูปแบบการใช้งานมากนัก เพราะยังคงใช้งานได้เหมือนกับรุ่นก่อนๆ เหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานมากนัก
เปรียบเทียบสเป็คจอแสดผล
ในด้านการแสดงผลแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป มาดูกันที่จอแสดงผลของ Galaxy Z Fold3 ที่มีให้เลือกใช้งาน 2 หน้าจอในเครื่องเดียว โดยจอแสดงผลด้านหน้าสามารถใช้งานได้เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไป มีขนาด 6.2 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ Dynamic AMOLED 2X แสดงผลได้ 120 Hz แต่จอหน้าของรุ่นนี้จะมีลักษณะค่อนข้างยาว อัตราส่วน 24.5:9 อาจจะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการใช้งานหน้าจอแคบๆ แต่หากใช้งานไม่ถนัดก็เปิดใช้งานหน้าจอใหญ่ได้ทันที
สำหรับหน้าจอด้านในขนาด 7.6 นิ้ว มีขนาดใหญ่เต็มตา เสมือนมีแท็บเล็ตในตัว ใช้งานได้สะดวก ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง พิมพ์ข้อความก็ทำได้อย่างง่ายดาย จอภาพด้านในเป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 1768 x 2208 พิกเซล แสดงผลได้ 120 Hz รองรับ HDR10+ และที่น่าสนใจคือกล้องที่ฝังอยู่ใต้จอแสดงผล เมื่อไม่ได้ใช้งานกล้องก็จะเป็นจอแสดงผล สามารถเปล่งแสงปิดทับรูกล้องนี้ได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานได้หลายแอพฯ ในจอเดียวอีกด้วย
จอแสดงผลของ Galaxy Z Flip3 ก็มีมาให้ใช้งาน 2 หน้าจอด้วยกัน จอแสดงผลด้านหน้าเป็นจอภาพ Super AMOLED แบบสัมผัสขนาดเล็ก 1.9 นิ้ว สำหรับเปิดดูนาฬิกา แตะเลื่อนดูการแจ้งเตือนต่างๆ หรือใช้หน้าจอถ่ายภาพขณะปิดฝาพับก็ได้เช่นกัน ช่วยให้ไม่ต้องเปิดฝาพับขึ้นมาบ่อยๆ
เมื่อเปิดฝาพับออกมาก็จะพบกับหน้าจอแสดงผลแบบพับได้ เป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2640 พิกเซล แสดงผลที่ Refresh rate 120 Hz รองรับการแสดงผล HDR10+ มีกล้องสำหรับถ่ายเซลฟี่ฝังอยู่ใต้หน้าจอตรงกลางส่วนบน สามารถใช้เซลฟี่ หรือวิดีโอคอลได้ด้วย Flex mode โดยพับหน้าจอครึ่งหนึ่งเพื่อตั้งเครื่องถ่ายภาพตามมุมที่ต้องการ
สุดท้ายกับ iPhone 13 Pro รุ่นใหม่ที่พัฒนาให้มีรอยบากบนหน้าจอที่เล็กลง แต่ก็ยังมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่ส่วนมากเป็นกล้องแบบเจาะรูที่ใช้พื้นที่น้อยกว่า ส่วนสเป็คจอภาพของ iPhone 13 Pro ก็มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 6.1 และ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้จอภาพแบบ OLED Super Retina XDR แสดงผลได้ 120 Hz เป็นรุ่นแรก มีความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลสำหรับ iPhone 13 Pro และความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลสำหรับรุ่น iPhone 13 Pro Max หากเทียบกับรุ่นก่อนก็ถือว่ามีการพัฒนาเรื่องของ Refresh rate จาก 60 Hz เป็น 120 Hz ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟน Flagship ที่ต้องมี
เปรียบเทียบสเป็คกล้องถ่ายภาพ
จากทั้ง 3 รุ่นที่นำมาเปรียบเทียบจะเห็นว่า Galaxy Z Fold3 มีกล้องมาให้ใช้งานมากที่สุดถึง 5 เลนส์ในเครื่องเดียว โดยกล้องด้านหน้าสำหรับใช้เซลฟี่ หรือวิดีโอคอลล์ ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล กล้องหลังมีมาให้ 3 เลนส์ครบทุกระยะสำหรับการถ่ายภาพทั่วไป กล้องหลังทั้ง 3 เลนส์นี้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากันหมด มีทั้งเลนส์ Wide, Ultra-Wide และเลนส์ Tele Optical zoom 2X สุดท้ายกับกล้องที่ฝังใต้จอแสดงผลด้านในใช้เซลฟี่ หรือใช้สำหรับวิดีโอคอลล์ หรือใช้งานแบบประชุมออนไลน์ มีความละเอียด 4 ล้านพิกเซล
Galaxy Z Flip3 มีกล้องหลักอยู่ 2 เลนส์ นั่นก็คือกล้องเลนส์ Wide และเลนส์ Ultra Wide ทั้ง 2 เลนส์มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นกัน จุดเด่นของ Z Flip3 นั่นก็คือเราสามารถใช้กล้องหลักเซลฟี่ได้ด้วยจอแสดงผลด้านหน้า ซึ่งมีความละเอียด และคุณภาพดีกว่ากล้องในจอฝาพับ ส่วนกล้องด้านในก็มีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล จะใช้เซลฟี่ หรือวิดีโอคอลล์ก็ทำได้สะดวกเช่นกัน เพราะจอสามารถปรับองศาการถ่ายภาพได้ด้วยฝาพับ
และสำหรับ iPhone 13 Pro ก็มีกล้องหลังมาให้ 3 เลนส์ 12 ล้านพิกเซลมาให้เช่นเคย โดยมีกล้อง Wide, Ultra wide และ Telephoto มาให้ นอกจากนี้ยังมี LiDAR Scanner ที่เข้ามาช่วยวัดระยะของวัตถุต่างๆ ทำให้การถ่ายภาพ Portrait ทำได้ดียิ่งขึ้น ส่วนกล้องหน้าได้ดีขึ้น ส่วนกล้องหน้าก็มีความละเอียดมาให้ 12 ล้านพิกเซลเช่นกัน
เปรียบเทียบสเป็คหน่วยประมวลผล
ทั้ง Galaxy Z Fold3 และ Galaxy Z Flip3 ต่างก็ใช้หน่วยประมวลผลเดียวกันคือชิพเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 พร้อมรองรับเครือข่าย 5G ซึ่งหน่วยประมวลผลนี้ถือเป็นชิพเซ็ตที่เร็วที่สุดในท้องตลาดตอนนี้ ส่วนชิพประมวลผลภาพ 3D ใช้ชิพ Adreno 660 ทั้งสองรุ่นเช่นกัน ส่วนหน่วยความจำในรุ่น Z Fold3 มีให้เลือกรุ่น 256 GB และ 512 GB ส่วน Z Flilp3 มีให้เลือกหน่วยความจำ 128 GB และ 256 GB ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ทั้งสองรุ่น
iPhone 13 Pro ใช้หน่วยประมวลผล Apple A15 Bionic ซึ่งเป็นชิพประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดของค่าย Apple มีหน่วยความจำให้เลือกถึง 4 รุ่น นั่นคือ 128, 256, 512 GB และ 1 TB ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้เช่นกัน แต่ก็มีรุ่นหน่วยความจำให้เลือกสูงสุดถึง 1 TB ผู้ใช้สามารถเลือกหน่วยความจำได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน
บทสรุปการเปรียบเทียบสเป็คของสมาร์ทโฟน Flagship ทั้ง 3 รุ่น
จะเห็นได้ว่านวัตกรรมของ Samsung นั้นมีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีหน้าจอที่สามารถพับได้ ทำให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ สามารถใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่ได้เต็มตาโดยไม่ต้องพกพาอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ ใช้งานแล้วก็พับเก็บได้อย่างง่ายดาย พกพาไปไหนก็สะดวก ส่วน iPhone 13 Pro ก็ยังคงมาในรูปแบบเดิม ที่มาพร้อมกับการอัพเกรดเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก สรุปแล้วหากต้องการใช้สมาร์ทโฟนที่มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ Samsung Galaxy Z Fold3 และ Galaxy Z Flip3 น่าจะตอบโจทย์ใครหลายๆ คนที่มองหาประสบการณ์การใช้งานที่ไม่เหมือนใคร โดยทั้งสองรุ่นพร้อมให้คุณสัมผัสเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้แล้ววันนี้