บ่อยครั้งที่หาของไม่เจอ เรามักจะคิดอยู่เสมอว่าถ้าสามารถโทรเข้าอุปกรณ์เหล่านั้นให้ส่งเสียงได้ก็คงจะดี แต่มาถึงยุคนี้แล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ ด้วยอุปกรณ์ที่ชื่อว่า AirTag จาก Apple ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว สามารถส่งเสียง ส่งสัญญาณเรียกได้เมื่อต้องการ ส่วนการทำงาน และการใช้งานจะเป็นอย่างไรนั้น เรามาแกะกล่อง รีวิว ดูกันเลย
แกะกล่องลองเล่น AirTag
ชุดที่เราได้มาทดสอบนั้นเป็นชุด 4 pack เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบ AirTag จำนวน 4 ชิ้นด้วยกัน ภายในกล่องก็มีเพียงแค่เอกสารการรับรองจาก กสทช. และเอกสารด้านความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้มีสายชาร์จมาให้ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่อาศัยแบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งระยะเวลาการใช้งานก็สามารถใช้ได้นานถึง 1 ปีเลยทีเดียว
การใช้งานครั้งแรกก็เพียงแค่ดึงแถบพลาสติกที่ตามแนวลูกศรออกมาเพื่อเปิดใช้งาน เพียงเท่านี้ก็พร้อมใช้งานแล้ว
มาดูที่ตัว AirTag กันบ้าง ขนาดของมันใหญ่กว่าเหรียญ 10 บาทเล็กน้อย ดีไซน์แบบวงกลมที่ดูเรียบหรูตามแบบฉบับของ Apple ตัว AirTag แบ่งออกเป็น 2 ส่วน นั่นก็คือส่วนล่าง เป็นพลาสติกสีขาว ส่วนบนเป็นโลหะเงาพร้อมโลโก้ Apple อยู่ตรงกลาง ซึ่งเราสามารถบิดเพื่อหมุนส่วนนี้ออกเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ ช่วย
ใช้งานร่วมกับแอพฯ Find My
โดยปกติแล้วแอพฯ Find My จะใช้สำหรับหาอุปกรณ์อย่าง iPhone, iPad, Macbook ฯลฯ และเมื่ออัพเดท iOS เป็นเวอร์ชั่น 14.5 ขึ้นไปก็สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ AirTag ได้ทันที โดยสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพกับ iPhone 11 และ iPhone 12 เพราะมีชิพเซ็ตที่รองรับการใช้งานบอกตำแหน่ง และทิศทาง
สำหรับการใช้งานหลังจากที่เราดึงแถบพลาสติกออก แล้วนำมาวางใกล้ๆ กับ iPhone หรือ iPad ก็จะมี Pop up ให้เชื่อมต่อกับ AirTag แล้วทำการเลือกชื่ออุปกรณ์ที่จะนำไปใช้งาน อย่างเช่นกระเป๋าสตางค์, กระเป๋าถือ, พวงกุญแจ, จักรยาน ฯลฯ แล้วเลือก Apple ID ที่จะผูกกับ AirTag แล้วรอสักครู่ก็พร้อมใช้งานได้ทันที
AirTag ทำงานอย่างไร
สำหรับอุปกรณ์ติดตามตัวอย่าง AirTag จะทำงานโดยเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วย Bluetooth LE ที่ใช้พลังงานต่ำมาก แบตเตอรี่จึงสามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี และตัว AirTag เองก็มีชิพ Apple U1 ที่ใช้คลื่นวิทยุ Ultra Wide Band ที่สามารถสื่อสารเพื่อส่งข้อมูลให้กับอุปกรณ์ของ Apple อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPod, iPad เพื่อส่งตำแหน่งผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่อไปยังเจ้าของได้ จึงไม่จำเป็นต้องมี GPS เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไปในการระบุตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมี NFC ที่สามารถระบุเจ้าของที่ลงทะเบียนกับ AirTag ชิ้นนั้นๆ ได้โดยนำมาทาบกับ iPhone หรือสมาร์ทโฟนต่างค่ายอย่าง Android ก็ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะลืมทิ้งไว้ที่ไหนก็เจอได้
ในการค้นหาสิ่งของที่ติด AirTag สามารถทำได้โดยเปิดแอพฯ Find My แล้วเลือกที่เมนู item ก็จะพบกับ AirTag ที่เราลงทะเบียนเป็นชื่อนั้นๆ ซึ่งหากอยู่ใกล้ในระยะการเชื่อมต่อ Bluetooth ไม่เกิน 50 เมตร แต่จากการใช้งานในที่โล่งสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ในระยะประมาณ 30-40 เมตร หากหาไม่เจอจริงๆ ก็สามารถกด Play Sound เพื่อให้ AirTag ส่งเสียงได้
จากการทดสอบทิ้ง AirTag ไว้ในออฟฟิศ เมื่อเปิดแอพฯ Fine My ใน iPhone 12 Pro Max ขึ้นมาก็สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ในระยะ 30 เมตร อีกทั้งยังมีลูกศรชี้ทิศทาง และบอกระยะห่างไปยัง AirTag ได้อย่างแม่นยำ ถือว่าทำได้น่าประทับใจมาก แต่หากใช้งานร่วมกับ iPhone รุ่นที่ต่ำกว่า iPhone 11 อาจจะต้องใช้ฟีเจอร์ Play Sound เพื่อฟังเสียงและหาตำแหน่งของ AirTag ด้วยตัวเอง
และเมื่อ AirTag หลุดจากการเชื่อมต่อ Bluetooth กับ iPhone ระบบจะจดจำตำแหน่งสุดท้ายของ AirTag และด้วยเครือข่ายผู้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, iPod ที่มีผู้ใช้กระจายอยู่ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นๆ เพื่อส่งข้อมูลตำแหน่งไปยังเจ้าของ AirTag ได้ ผู้ใช้จึงสามารถเปิดแอพฯ Find My ดูได้ว่าตำแหน่งของ AirTag ล่าสุดอยู่ที่ไหน ถึงแม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายไปก็ตาม ข้อมูลตำแหน่งอาจจะไม่รีลไทม์ แต่ก็ยังดีกว่าที่หายไปแบบติดต่อไม่ได้เลย
จากการทดสอบใช้งานจริงโดยทิ้ง AirTag ไว้ที่บ้านในจังหวัดเพชรบุรี แล้วเดินทางไปจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อเปิดแอพฯ Find My ขึ้นมาตำแหน่งของ AirTag ก็ยังส่งตำแหน่งโดยเชื่อมต่อผ่าน iPhone ของพี่ชายที่อยู่ที่บ้านได้ ถึงแม้ว่าจะห่างกันถึง 93 กิโลเมตรก็ตาม และยังให้แอพฯ นำทางไปยังตำแหน่งของ AirTag ได้ด้วย Apple Maps
ทิ้งข้อความให้โทรกลับ เมื่อทำ AirTag สูญหายได้
เมื่อผู้ใช้ทำทรัพย์สินที่ติด AirTag สูญหายก็สามารถเปิดแอพฯ Find My เพื่อเปิด Lost mode ทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้กลับได้ เมื่อมีผู้เก็บ AirTag หรือทรัพย์สินที่ถูกติด AirTag ก็สามารถใช้สมาร์ทโฟนที่มี NFC แตะเข้ากับ AirTag เพื่อดูหมายเลข Serial number และข้อมูลเบอร์โทร 4 หลักสุดท้ายของเจ้าของได้ และหาก AirTag ชิ้นนั้นเปิด Lost mode ไว้ก็จะเห็นข้อความ และเบอร์ติดต่อกลับด้วย หรือหากไม่ได้เปิด Lost mode ผู้ที่เก็บได้มีความประสงค์จะคืนก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่เก็บเอาไว้เพื่อให้เจ้าของหาตำแหน่งมายัง AirTag ชิ้นนั้นเอง
แต่ในกรณีที่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยนำ AirTag ไปซ่อนไว้ในกระเป๋า หรือซ่อนไว้เพื่อติดตามตัว หรือติดตามตำแหน่งของบุคคลอื่น ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างชัดเจน ก็จะมีคำแนะนำจาก Apple ให้กับผู้ที่ถูกติด AirTag ถอดแบตเตอรี่ออกเพื่อหยุดการทำงาน และหยุดการส่งตำแหน่งของ AirTag ได้ แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้ที่เก็บทรัพย์สินที่ติด AirTag ได้แล้วไม่อยากคืนเจ้าของก็สามารถถอดแบตเตอรี่ได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถนำ AirTag ไปรีเซ็ตใช้งานต่อได้ เพราะถูกลงทะเบียนผูกไว้กับ Apple ID เรียบร้อยแล้ว
และถึงแม้ว่าตัว AirTag จะมีระบบกันน้ำมาตรฐาน IP67 ที่สามารถจมน้ำลึกได้ไม่เกิน 1 เมตร แต่ก็ไม่สามารถค้นหาสัญญาณ AirTag ที่จมน้ำได้ เพราะน้ำมีคุณสมบัติปิดกั้นสัญญาณ Bluetooth และสัญญาณวิทยุทุกประเภท หากสิ่งของที่ติด AirTag จมน้ำก็ทำใจได้เลยว่าหาไม่เจออย่างแน่นอน
บทสรุป รีวิว AirTag ใช้งานได้จริง คุ้มค่ากับการลงทุน
ถือเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เหล่ามนุษยชาติแก้ไม่ตก นั่นก็คือทำสิ่งของสูญหาย หรือลืมของเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง ทั้งพวงกุญแจ กระเป๋าสตางค์ หรือสิ่งของอื่นๆ ให้หาได้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่การนำ AirTag ไปติดกับสัตว์เลี้ยงที่ชอบหนีออกไปเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งจะช่วยให้เราตามสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่หากการนำ AirTag ไปติดกับบุคคลอื่นๆ ก็ควรจะได้รับคำยินยอมจากคนนั้นด้วย ซึ่งหากนำไปติดกับสมาชิกในบ้านอย่างลูกๆ หลานๆ เพื่อหาตำแหน่งในกรณีที่พลัดหลงกันก็คงจะไม่ผิดอะไร แต่หากนำไปติด หรือแอบไว้กับบุคคลอื่นที่ไม่ได้รับความยินยอมก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
อย่างไรก็ดี เราสามารถเชื่อมต่อ AirTag ได้สูงสุด 16 ชิ้นต่อ 1 Apple ID ซึ่งหากเป็นคนขี้ลืม การลงทุนซื้อ AirTag มาติดก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมีราคาเพียงชิ้นละ 990 บาทเท่านั้นเอง และหากซื้อ 4 ชิ้นก็จะถูกลงมาเหลือเพียง 3,390 บาทเท่านั้นเอง และหากสั่งจาก Apple Online Store ก็สามารถสั่งสลักชื่อ หรือข้อความส่วนตัว หรือ Emoji ที่ด้านหลัง AirTag ได้ฟรีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างพวงกุญแจ, แท็กติดกระเป๋าให้เลือกซื้อมาใช้งานได้ตามต้องการ
สรุปสเป็คของ AirTag
- ขนาด 31.9 x 31.9 x 8 มม. น้ำหนัก 11 กรัม
- ทำงานด้วยชิพ Apple U1
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth LE, NFC และคลื่น Ultra Wide Band
- แบตเตอรี่ CR2032 ใช้งานได้นาน 1 ปี
- กันน้ำตามมาตรฐาน IP67
- มีลำโพงในตัว
- รองรับ iPhone และ iPod ที่ใช้ iOS เวอร์ชั่น 14.5 ขึ้นไป
- รองรับ iPad ที่ใช้ iPadOS เวอร์ชั่น 14.5 ขึ้นไป