ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สาวก Xiaomi ต้องไม่พลาดอย่าง Xiaomi Mi Smart Band 4 โดยพัฒนาต่อยอดจาก Mi Band 3 มาถึง รุ่นนี้ ถือเป็นการพัฒนามาสู่จุดสูงสุดของ Mi Band เลยทีเดียว และที่สำคัญ ราคาเพียงแค่พันกว่าบาทเท่านั้นเอง ไม่ต่างจากรุ่นก่อนเลย จะมีอะไรใหม่เพิ่มเติมบ้างนั้น เชิญอ่าน รีวิว Mi Band 4 ของเราได้เลย
แกะกล่องลองเล่น Xiaomi Mi Band 4
ด้วยสมาร์ทแบนด์ตระกูลนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัด สวมใส่สบาย ตัวกล่องจึงมีขนาดเล็กและแบนตามไปด้วย ซึ่งในกล่องก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงสายรัดข้อมือสมาร์ทแบนด์, สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB และคู่มือการใช้งานเท่านั้นเอง
ตัวสมาร์ทแบนด์รุ่นนี้พัฒนามาใช้จอแสดงผลแบบสีแล้ว ซึ่งก็ให้สีสันที่สวยงามในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีแล้วในราคาระดับนี้ โดยหน้าจอมีขนาด 0.95 นิ้ว แบบสัมผัส ความละเอียด 120 x 240 พิกเซล ใต้จอแสดงผลมีปุ่มแบบสัมผัส แตะเมื่อต้องการเปิดหน้าจอ และยังใช้เป็นปุ่มย้อนกลับไปยังเมนูก่อนหน้าได้ด้วย
พลิกมาด้านหลังมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นแบบ Optical sensor โดยมีไฟ LED สีเขียวมาให้ 2 ดวง และส่วนหน้าสัมผัสชาร์จแบตเตอรี่อยู่ที่แถบด้านล่าง
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ก็มีแท่นชาร์จมาให้ ซึ่งการชาร์จแต่ละครั้งต้องถอดตัวเครื่องออกมาชาร์จทุกครั้ง โดยสายชาร์จเป็นแบบ USB ความยาวประมาณ 15 ซม. จะเสียบกับอแดปเตอร์ของมือถือ หรือชาร์จกับพอร์ต USB คอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน
ส่วนสายของ Mi Band 4 ก็สามารถนำสายของรุ่นเก่าอย่าง Mi Band 3 มาใช้ด้วยกันได้เลย เพราะมีขนาดเท่ากัน ตัวสายเป็นวัสดุยางเทอร์โมพลาสติก โพลียูรีเทน ยืดหยุ่นได้ สวมใส่สบาย ไม่ระคายผิว และยังมีน้ำหนักเบามากด้วย
ใช้งานร่วมกับแอพฯ Mi Fit
ที่ขาดไม่ได้คือการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนซึ่งจะทำให้เราดูข้อมูลต่างๆ และใช้งานสมาร์ทแบนด์ได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.0 BLE ซึ่งใช้พลังงานต่ำมาก ทำให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน โดยแอพฯ Mi Fit สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งจาก Play Store ของแอนดรอยด์ และ App Store ของ iOS พร้อมใช้งานได้กับสมาร์ทโฟนทุกรุ่น ทุกแบรนด์เลยก็ว่าได้
เมื่อเชื่อมต่อกับแอพฯ Mi Fit เรียบร้อยแล้ว เราสามารถอัพเดท Firmware เวอร์ชั่นใหม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำตั้งแต่ครั้งแรก จากนั้นเราสามารถดูข้อมูลต่างๆ ที่สมาร์ทแบนด์เก็บมาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนอน การเต้นของหัวใจ และสามารถบันทึกน้ำหนักจากเครื่องชั่งดิจิตอลที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเก็บเป็นสถิติได้ด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอได้จากแอพฯ นี้ พร้อมทั้งดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ ซึ่งตอนนี้มีให้เลือกดาวน์โหลดในแอพฯ มากถึง 50 แบบ แต่ยังไม่สามารถใช้ภาพของเราเองเป็นภาพพื้นหลังได้
(อัพเดทล่าสุดตอนนี้สามารถอัพเดท Firmware เพื่อให้รองรับการแจ้งเตือนภาษาไทยได้แล้ว)
ส่วนการแจ้งเตือนก็สามารถแสดงรายชื่อสายเรียกเข้าได้จากบนหน้าจอพร้อมระบบสั่นเตือน แต่ตอนนี้ยังไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งหากมีข้อความภาษาไทยจะเป็นตัวสี่เหลี่ยม น่าจะต้องรอให้มีเวอร์ชั่นใหม่ๆ ที่อัพเดทภาษาไทยมาให้
รองรับการ และติดตามการออกกำลังกายแบบง่ายๆ
แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็รองรับการตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้อย่างเช่นการเดินเร็ว การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือแม้กระทั่งการว่ายน้ำ ซึ่งตัวเครื่องสามารถกันน้ำได้ที่ระดับ 5 ATM ซึ่งทั้งหมดหากต้องการเก็บระยะทาง หรือบันทึกเส้นทางวิ่งก็ต้องพกโทรศัพท์ไปด้วยเพื่อเป็นตัวรับสัญญาณ
ส่วนการออกกำลังกายอื่นๆ ก็ยังตรวจจับได้เช่นกัน โดยอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง เซ็นเซอร์ไจโรสโคป และเซ็นเซอร์ตรวจจับการเต้นของหัวใจ ซึ่งตัว Mi Band จะวัดการเคลื่อนที่ของร่างกาย+อัตราเต้นของหัวใจ และระยะเวลาการออกกำลังกายเป็นหลัก แล้วคำนวนออกมาเป็นแคลอรี่ให้ทราบคร่าวๆ ได้เช่นกัน
นอกจากนี้การวัดจำนวนก้าว การตรวจจับการนอน และอัตราการเต้นของหัวใจแบบตลอดทั้งวันก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเป้าหมายในแต่ละวันได้ว่าจะเดินวันละกี่ก้าว จะนอนวันละกี่ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยสรุปและให้ข้อมูลแก่เราว่าในแต่ละวันที่ผ่านมาเราทำสำเร็จไปกี่วัน หรือไม่สำเร็จยังขาดอีกเท่าไหร่ ทำให้เราทราบถึงข้อมูลเหล่านั้นได้
บทสรุป รีวิว Mi Band 4 จากความเห็น What Phone
ด้วยราคาเปิดตัวในไทยเพียง 1,290 บาท ทำให้เราลืมข้อเสียต่างๆ ไปได้ท้ังหมด เพราะในราคานี้ได้ทั้งจอสี วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดการออกกำลังกาย เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ วัดการนอน สามารถใส่นอนได้สบายๆ เพราะมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สวมใส่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสายรัดยังใช้กับรุ่น Band 3 ได้ด้วย จากการใช้งานจริงผ่านไป 3 วัน แบตเตอรี่เหลือ 80% คำนวนดูแล้วน่าจะใช้ได้ประมาณ 13-15 วัน ก็ถือว่าใช้ได้นานพอสมควร ถ้าถามว่าถ้าใช้รุ่นเก่าแล้วควรเปลี่ยนไหม ตอบได้เลยว่าเปลี่ยนเหอะ ด้วยราคานี้ก็ได้จอสี แค่นี้ก็คุ้มสุดๆ แล้ว
สรุปสเป็ค
- ขนาด 18 มม. น้ำหนัก 22.1 กรัม
- หน้าจอสีแบบ AMOLED ขนาด 0.95 นิ้วแบบสัมผัส ความละเอียด 120 x 240
- หน่วยความจำ RAM 512 KB, ROM 16 MB
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0, BLE
- เซ็นเซอร์ Accelerometer sensor, Gyroscope sensor, Optical heart rate sensor
- กันน้ำระดับ 5 ATM
- แบตเตอรี่ Li-Po 135 mAh ใช้งานได้สูงสุด 20 วัน
- รองรับการใช้งานทั้ง Android และ iOS