จากปีที่แล้ว Fitbit ได้เปิดตัวสมาร์ทวอชรุ่น Versa รุ่นแรกไปแล้ว มาถึงปีนี้ได้เปิดตัว Fitbit Versa 2 ที่พัฒนาให้มีฟีเจอร์ และความสามารถมากกว่าเดิม แต่ยังคงดีไซน์เช่นเดิมเหมาะกับผู้ใช้ที่รักสุขภาพ ต้องการตรวจสอบการเคลื่อนไหว และการนอนหลับในแต่ละวัน มาดูกันครับว่าจะมีอะไรที่น่าใช้กว่าเดิม
แกะกล่อง ตั้งค่าการใช้งานกับ Fitbit Versa 2
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่น Standard เป็นสายสีดำ ตัวเรือนก็เป็นสีดำ ภายในกล่องก็มีอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Smart watch Fitbit Versa 2 (พร้อมสายไซส์ S)
- สายสำรอง ไซส์ L
- สายชาร์จแบบ USB
- คู่มือการใช้งาน
เมื่อแกะกล่องออกมาตัวเรือนจะใส่สายไซส์ S มาให้เลย หากต้องการเปลี่ยนสายไซส์ L ก็สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ เพียงแค่ถอดสลักแล้วดึงออกมา แต่การใส่อาจจะต้องออกแรงกดสลักแล้วดันเข้าไปให้ลงล็อค ซึ่งก็ไม่ยากเช่นกัน ส่วนการชาร์จกับแท่นชาร์จจะต้องวางให้หน้าสัมผัสตรงกับเขี้ยวของแท่นชาร์จ โดยสามารถชาร์จกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ หรืออแดปเตอร์มือถือทั่วไปก็ได้เช่นกัน
ตัวเรือนของรุ่นนี้ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม แข็งแรงทนทาน ดีไซน์เป็นแบบสี่เหลี่ยม กระจกหน้าจอโค้งมน มีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ด้านข้างพร้อมกับทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back หรือย้อนกลับไปด้วยในตัว ที่ด้านหลังตัวเรือนมี Heart sensor แบบ Optical ใช้ตรวจจับการเต้นของหัวใจ
สำหรับการตั้งค่าเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนจำเป็นต้องดาวน์โหลดแอพฯ Fitbit ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดทั้งใน Play store ของ Android และ App store ของ iOS จากนั้นให้เปิดสมาร์ทวอช และนำเสียบเข้ากับแท่นชาร์จเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ขณะทำการเชื่อมต่อ จากนั้นทำการขั้นตอนที่แนะนำ และเมื่อเชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้วตัวเครื่องจะทำการอัพเดท และโอนถ่ายข้อมูลไปยังสมาร์ทวอช ซึ่งตรงนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 30-60 นาทีก็สามารถใช้งานได้ทันที
ดาวน์โหลด Clock faces ได้ตามต้องการ พร้อมหน้าจอ Always on
Versa 2 สามารถเลือกดาวน์โหลด ปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้หลากหลายตามความชอบของผู้ใช้ มีทั้งแบบ Digital, Analog, ลายกราฟฟิค, ลายการ์ตูน มีให้เลือกหลายร้อยแบบ ทั้งแบบดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีๆ หรือแบบเสียตังค์ซื้อก็มี หรือจะเป็นแบบดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี แต่หากถูกใจสามารถจ่ายตังค์โอนเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้พัฒนาเพื่อสนับสนุนให้ทำ Clock faces แบบใหม่ๆ ให้เราได้ดาวน์โหลดมาใช้ก็ได้เช่นกัน สำหรับใครที่เบื่อหน้าปัดนาฬิกาแบบเก่าๆ ในเมนูนี้ก็มี Clock faces แบบใหม่ๆ มาอัพเดทให้เราได้เลือกดาวน์โหลดไม่ซ้ำเลยทีเดียว
สำหรับการใช้งานนาฬิกาสามารถเลือกให้เปิดหน้าจอโดยอัตโนมัติได้ แต่แบตเตอรี่จะหมดค่อนข้างเร็ว จากการทดสอบใช้งานเปิดหน้าจอตลอด (Always on display) ตั้งค่าให้ปิดเฉพาะตอนนอนสามารถใช้งานได้ 3 วัน แต่หากปิดการใช้งาน Always on display จะสามารถใช้งานได้ประมาณ 5-6 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ
เลือกรูปแบบออกกำลังกายได้หลากหลาย พร้อมระบบตรวจจับรูปแบบการออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ
สำหรับการออกกำลังกายนั้นสามารถเลือกให้ Track การออกกำลังกายได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ซึ่งหากต้องการให้เก็บข้อมูลระยะทาง และเส้นทางจะต้องพกสมาร์ทโฟนไปด้วย เพราะตัว Versa 2 ไม่มี GPS ในตัว ต้องอาศัย GPS ของโทรศัพท์ นอกจากนี้หากต้องการให้สมาร์ทวอชเก็บข้อมูลการออกกำลังกายอื่นๆ ก็สามารถทำได้ในโหมด Workout เพราะตัวเครื่องจะตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจเป็นหลัก ซึ่งจะนำไปคำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไป
ด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่มีในเครื่อง สามารถตรวจจับการออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องเข้ามากดเลือกว่าจะออกกำลังกายรูปแบบไหน จากการใช้งานจริงผู้เขียนต้องเดินช่วงระยะหนึ่ง ตัวเครื่องสามารถตรวจจับ และบันทึกการเดินได้โดยอัตโนมัติ สามารถย้อนกลับเข้ามาดูข้อมูลการเดิน ระยะทาง และเวลาที่เดินได้
ความสะดวกของ Versa 2 ยังสามารถตั้งค่าให้หน้าจอติดตลอดขณะออกกำลังกาย ทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลขณะนั้นได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง ระยะเวลา อัตราการเต้นของหัวใจ ไม่ต้องมาคอยสะบัดข้อมือ หรือกดปุ่มเพื่อให้หน้าจอติดเพื่อดูข้อมูล นับว่าสะดวกมากๆ
ตรวจจับการนอน พร้อมระบบการให้คะแนนรูปแบบใหม่
จุดเด่นอีกด้านของ Fitbit คือระบบตรวจจับการนอนหลับ ซึ่งทาง Fitbit ได้ลงทุนวิจัยและพัฒนาระบบตรวจจับการนอนได้อย่างแม่นยำ โดยสมาร์ทวอชสามารถตรวจจับการนอน และการตื่นของเราได้โดยอัตโนมัติ โดยสมาร์ทวอชจะคอยเก็บข้อมูลการนอนของเราโดยแบ่งรูปแบบการนอนหลับออกเป็น 4 ระดับคือ Deep, Light, REM และ Awake ซึ่งการนอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ Deep และ Light ซึ่งการหลับในสถานะนี้จะช่วยให้เราพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แต่หากดูข้อมูลแล้วเราตื่น หรือ Awake บ่อยก็จะทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่รู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน
สำหรับการให้คะแนนการนอนหลับระบบจะคำนวนจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือระยะเวลาการนอนหลับ และสถานะการนอนหลับเป็นหลัก ถ้าหากระยะเวลานอน และสถานะการนอนหลับดีก็จะได้คะแนนเยอะ หากนอนน้อย หรือสถานะการนอนหลับไม่ดีก็จะได้คะแนนน้อย ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ และปรับตัวให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ Versa 2 ยังมีฟีเจอร์ Smart Awake ที่สามารถเลือกปลุกเราในสถานะการนอนหลับที่เหมาะสม โดยจะไม่เลือกปลุกเราในสถานะ Deep ซึ่งการปลุกในสถานะนี้จะทำให้เราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น แต่นาฬิกาจะเลือกปลุกในขณะที่เราหลับในสถานะ REM หรือ Awake ซึ่งเป็นสถานะที่ใกล้จะตื่นแล้ว
ควบคุม และฟังเพลงผ่าน Spotify พร้อมหน่วยความจำในตัว ฟังเพลงโดยตรงจากสมาร์ทวอชได้
ผู้ใช้หลายๆ ท่านอาจจะฟังเพลงสตรีมมิ่งผ่านแอพฯ Spotify อยู่แล้ว ตัวสมาร์ทวอชสามารถควบคุมการเล่นเพลงจากหน้าจอได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องแตะโทรศัพท์เลย แต่ Account ของ Spotify จะต้องเป็นแบบ Premium เท่านั้น ส่วนตัวเครื่องก็มีหน่วยความจำมาให้ในตัวอยู่แล้ว 4 GB แต่สามารถใช้งานได้จริง 2.5 GB ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการดาวน์โหลดเพลงไปฟังขณะออกกำลังกายผ่านชุดหูฟัง Bluetooth โดยเชื่อมต่อผ่าน Versa 2 โดยตรง ไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์ ถือว่าสะดวกมากๆ หากต้องการออกกำลังกายโดยไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไปด้วย เหมาะกับการออกกำลังกายไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย โดยเฉพาะในฟิตเนส
บทสรุปการใช้งาน Fitbit Versa 2
จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่า Fitbit Versa 2 นั้นนอกจากจะมีดีไซน์ที่สวยงามเรียบหรูแล้ว ยังมีฟีเจอร์การใช้งานท่ีหลากหลาย ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการฟังก์ชั่นในด้านการออกกำลังกาย และอยากได้นาฬิกาที่ดูสวยงามทันสมัย โดยเจ้า Versa 2 นั้นถือว่าเป็น Fitness tracker ที่สมบูรณ์แบบ เหมาะกับการใช้งานออกกำลังกาย จะขาดก็แต่ GPS ซึ่งจะต้องอาศัยการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน หากออกกำลังกายนอกบ้านก็ยังคงต้องพกมือถือไปด้วย และการแจ้งเตือนที่ยังไม่รองรับภาษาไทย ส่วนการใช้งานอื่นๆ อย่างเช่นระบบติดตามการนอน การฟังเพลง และการใช้งานนาฬิกาถือว่าตอบโจทย์การใช้งานครบครัน ระยะเวลาการใช้งานจริงทำได้สูงสุดถึง 6 วันตามสเป็คที่แจ้งมา แต่หากเปิดหน้าจอให้ติดตลอดก็จะใช้งานได้ประมาณ 4 วัน จากการใช้งานจริงโดยรวมแล้ว ทั้งดีไซน์ และฟังก์ชั่นถือว่าทำได้ประทับใจมากๆ เลยทีเดียว ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 7,990 บาท และรุ่น Special edition จะอยู่ที่ 8,990 บาท
จุดเด่น และสเป็คของ Fitbit Versa 2
- หน้าจอเป็น AMOLED ความละเอียด 300 x 300 พิกเซล สีสันสดใสมากขึ้น
- มีฟีเจอร์ฺ Always-On Display สำหรับการแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา
- รองรับ NFC เพื่อการใช้งาน Fitbit Pay
- รองรับฟีเจอร์ Voice Reply สำหรับการสั่งให้ตอบข้อความกลับได้ทันที ขณะมีการแจ้งเตือนต่าง ๆ
- แบตเตอรี่อยู่ได้สูงสุด 6 วัน
- ยังคงมี Fitness Mode ให้เลือกหลากหลายการแบบเช่นเคย อาทิ วิ่ง, เดิน, ปั่นจักรยาน เป็นต้น และสามารถตรวจจับการนอนได้ โดยมีโหมด Sleep score ไว้ดูว่าเราหลับได้ดีแค่ไหน
- ปรับปรุงเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจให้แม่นยำมากขึ้น สามารถวัดได้ตลอดเวลาแบบ Realtime
- มีแอพ Amazon Alexa และ Spotify ติดตั้งมาให้ในตัว
- กันน้ำระดับ 50 ATM สามารถใส่ว่ายน้ำได้
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.0 และ WiFi