ถือเป็นโอกาสดีที่ทาง Huawei ประเทศไทยได้เชิญทีมงาน What Phone ไปร่วมทดสอบหูฟัง True Wireless รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Huawei FreeBuds 3 ชุดหูฟังไร้สายระดับพรีเมี่ยมดีไซน์หรู มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน ซึ่งทาง Huawei ได้นำทีมงานไปทดสอบการใช้งานจริงในสถานที่ที่มีเสียงดัง อย่างเช่นทางเดินฟุตบาทที่มีเสียงรถยนต์วิ่งจอแจ ในรถไฟฟ้า ร้านอาหารเป็นต้น ส่วนจะเป็นอย่างไรเราจะมารีวิวให้ฟัง
แกะกล่องลองฟัง Huawei FreeBuds 3
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสีขาว หรือ Ceramic White โดยภายนอกกล่องสังเกตง่ายๆ แต่ละสีจะมีรูปของชุดหูฟังสีนั้นๆ มาบนกล่องเลย ภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Huawei FreeBuds 3 จำนวน 1 คู่
- Charging case
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- คู่มือการใช้งาน แผ่นพับ QR-Code สำหรับดาวน์โหลดแอพฯ
เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับอุปกรณ์ดังที่กล่าวมา โดยชุดหูฟ้งจะอยู่ใน Charging case อยู่แล้ว สามารถนำสายชาร์จมาเสียบชาร์จได้เลย หรือหากมีแบตเตอรี่มาให้อยู่แล้วก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทันที รองรับทั้ง Android ทุกแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาร์ทโฟน Huawei และยังรองรับ iOS ด้วย
สำหรับ Charging case สี Ceramic White วัสดุเป็นพลาสติกสีขาวเงาวับสีขาวสะอาดตา และยังมีบานพับเป็นสีเงินพร้อมโลโก้ HUAWEI ยิ่งทำให้ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น เมื่อเปิดฝาพับออกมาก็จะพบกับชุดหูฟังทั้งซ้าย และขวา พร้อมทั้งไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ของตัวหูฟังเป็นสีเขียว และหากอยู่ในโหมด Paring จะเป็นสีขาวกระพริบ
ที่ด้านข้างขวาของ Charging case มีปุ่มเล็กๆ สำหรับกดเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อต่อไป สำหรับตัวหูฟังเมื่อดึงออกมาก็จะพบกับเซ็นเซอร์ต่างๆ รอบตัว และสามารถแตะสัมผัสสั่งงานได้จากด้านข้างของก้านหูฟังได้เลยโดยการแตะเบาๆ 2 ครั้ง ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้สั่งงานอะไร อย่างเช่นเปลี่ยนเพลง, เปิด/ปิดระบบ Active noise cancellation เป็นต้น
ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ตชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C โดยมีสายมาให้ในกล่อง สามารถชาร์จกับอแดปเตอร์โทรศัพท์, พอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์, พาวเวอร์แบงค์ หรือจะชาร์จแบบไร้สายก็ได้เช่นกัน ใกล้ๆ กับพอร์ตชาร์จมีไฟแสดงสถานะของ Charging Case หากเป็นส้มขึ้นเตือนแสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดแล้ว
ชุดหูฟังทั้งสองข้างมีลักษณะเป็นก้านยาวลงมา ซึ่งปลายก้านนี้จะมีไมโครโฟนรับเสียงที่เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษที่เรียกว่า Aerodynamic Mic Duct Design จะช่วยป้องกันเสียงลมได้ในระดับหนึ่ง สามารถตัดเสียงลมขณะเดิน ปั่นจักรยาน หรือลมที่พัดมาเบาๆ ได้ นอกจากนี้ตัวหูฟังยังมี Bone sensor ที่จับเสียงจากการสั่นสะเทือนของกระดูกบริเวณกรามของเรา ช่วยให้เสียงสนทนาของเราชัดเจนมากยิ่งขึ้น
การเชื่อมต่อที่แสนง่ายดายเพียงแค่วางใกล้ๆ สมาร์ทโฟน Huawei
หากใช้สมาร์ทโฟน Huawei อยู่แล้วจะเชื่อมต่อได้อย่างง่ายดาย อย่างที่เราทดสอบนำมาเชื่อมต่อกับ Huawei Mate30 Pro เพียงแค่เปิดฝาของชุดหูฟังแล้วมาวางใกล้ๆ กัน หน้าจอก็จะขึ้นให้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทันที พร้อมทั้งบอกระดับแบตเตอรี่ของทั้งหูฟังทั้งสอง และแบตเตอรี่ของ Charging case เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อยก็สามามารถเปิดเพลงฟังได้เลย สะดวกและง่ายมากๆ
แต่หากเป็นสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ จะต้องเปิดฝาแล้วกดปุ่มด้านข้างของ Charging case เพื่อเข้าโหมด Paring จากนั้นก็เข้าสู่เมนูบลูทูธแล้วเลือกเชื่อมต่อในชื่อ FreeBuds 3 จึงจะสามารถใช้งานได้ เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้วก็ดึงชุดหูฟังออกจาก Charging case ใช้งานได้ทันที และเมื่อใช้งานเสร็จ หรือต้องการชาร์จแบตเตอรี่ก็เสียบเข้าที่เดิม แม่เหล็กก็จะช่วยดึงดูดให้ยึดติดกับตัว Charging case พร้อมกับไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่สีต่างๆ จากนั้นก็ปิดฝาเพื่อเก็บ หรือชาร์จแบตเตอรี่ให้กับชุดหูฟัง
เชื่อมต่อกับแอพฯ Huawei AI Life เพื่อตั้งค่าต่างๆ ให้กับ FreeBuds 3
เมื่อทำการเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว หากต้องการใช้งาน FreeBuds 3 ให้คุ้มค่าให้ดาวน์โหลดแอพฯ Huawei AI Life จากนั้นก็เลือกเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ ซึ่งหากใช้งานครั้งแรกระบบจะทำการอัพเดท Firmware ให้กับชุดหูฟัง ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีก็เรียบร้อย โดยภายในแอพฯ ก็มีบอกสถานะของแบตเตอรี่ทั้งชุดหูฟัง และตัว Charging case มีให้ตั้งค่าการแตะสัมผัสแยกทั้งหูซ้าย หรือหูขวา ไม่ว่าจะเป็นการเล่น หรือหยุดเพลง (Play, Pause) ข้ามไปเพลงต่อไป (Play, Next), เปิดใช้งานคำสั่งเสียง (Awake Assistant), เปิด/ปิดระบบตัดเสียงรบกวน
สำหรับการตั้งค่า Noise Cancelling ก็สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการ เพราะแต่ละคนหูจะไม่เท่ากัน เราสามารถหมุนเลือกระบบเสียงรบกวนได้จนกว่าเราจะพอใจ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีให้เลือกปรับแต่งโทนเสียง หรือ Equalizer อาจจะต้องรอเวอร์ชั่นใหม่ให้อัพเดทในอนาคต
ทดสอบฟังเพลง และระบบตัดเสียงรบกวน
ขอเริ่มจากการสวมใส่ชุดหูฟังของรุ่นนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ด้วยดีไซน์ Dolphin Bionic หรือดีไซน์หัวโลมาทำให้สวมใส่สบาย เข้าถึงหูชั้นในได้โดยไม่ระคายเคือง ใส่แล้วรู้สึกกระชับ ไม่หลุดง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะสะบัดหัวเบาๆ ก็ยังไม่หลุด มีน้ำหนักเบาจนบางครั้งต้องเอามือมาจับเช็คดูว่ายังไม่หลุดหายไปไหน
สำหรับการฟังเพลงหากใส่ชุดหูฟังได้ที่ก็จะได้ยินเสียงเพลงชัดเจน มาครบทั้งเสียงแหลม เสียงกลาง และเสียงเบส โดยเฉพาะเสียงเบสถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่หากใส่แบบหลวมๆ ก็ยังคงได้ยินเสียงเพลงชัดเจนเช่นกัน แต่เสียงเบสอาจจะเบาไปหน่อยถือเป็นเรื่องปกติ
สำหรับระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ซึ่งหากอยู่ในที่เสียงจอแจดังมากๆ อย่างเช่นข้างถนน บนรถไฟฟ้า หรือร้านอาหารจะยังคงได้ยินเสียงรอบข้างรอดเข้ามาบ้าง แต่หากอยู่ในออฟฟิศ หรือสถานที่มีเสียงไม่ดังมาก ถือว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเมื่อเปิดระบบตัดเสียงรบกวน หรือใส่หูฟังแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย และเมื่อเปิดเพลงฟังพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนจะรู้สึกว่ากำลังฟังเพลงอยู่ในที่เงียบๆ คนเดียว ทำให้รู้สึกสงบมาก มีสมาธิทำงานโดยไม่มีเสียงอื่นใดมารบกวนนอกจากเสียงเพลง
ในด้านการสนทนาเมื่อมีสายเรียกเข้า เราสามารถแตะที่หูฟังสองครั้งเพื่อรับสาย ถ้าเป็นเสียงคู่สนทนาเราจะได้ยินเสียงชัดเจน ส่วนปลายสายจากการทดสอบยังคงได้ยินเสียงรอบข้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังได้ยินเสียงพูดชัดเจนอยู่เช่นกัน ถือว่าการทดสอบสนทนาโทรศัพท์ทำได้ค่อนข้างดี ส่วนระยะเวลาการใช้งานตามสเป็คแล้วจะได้สูงสุด 4 ชั่วโมง แต่จากการใช้งานจริง 1.5 ชั่วโมงแบตเตอรี่เหลือ 65% หากคำนวนคร่าวๆ ก็จะใช้งานได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
บทสรุป
หลังจากที่ใช้งานประทับใจทั้งดีไซน์ และเทคโนโลยีที่อัดเข้ามาให้ใช้งานหลายอย่างในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation บนหูฟังแบบ Ear Buds รุ่นแรกของโลก, Bone Sensor ที่ตรวจจับเสียงจากกรามของเรา ช่วยให้เสียงสนทนาชัดเจนขึ้น และชิพประมวลผล Kirin A1 สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ช่วยในเรื่องของการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ไม่มีสะดุด โดยรวมถือว่าเป็นชุดหูฟังคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึงได้เพียง 4,990 บาท และตอนนี้อยู่ในช่วงเปิดจองก็มีของแถมอย่าง Huawei Wireless Charger มาให้ด้วยมูลค่า 1,490 บาท เปิดจองถึงวันที่ 1 ธันวาคมนี้เท่านั้น
สเป็ค Huawei FreeBuds 3
- ขนาดหูฟังต่อข้าง 41.5 x 20.4 x 17.8 มม., น้ำหนัก 4.5 กรัม (ต่อข้าง)
ขนาด Charging case 60.9 x 21.8 มม., น้ำหนัก 48 กรัม
รวมน้ำหนักทั้งหมด 57 กรัม - แบตเตอรี่หูฟังข้างละ 30 mAh, Charging case 410 mAh
- ระยะเวลาการใช้งาน 4 ชั่วโมง และ 20 ชั่วโมงเมื่อชาร์จกับ Charging case
- ระบบชาร์จผ่านสาย USB-C และ Wireless Charging
- ขนาด Driver 14.2 มม.
- Bluetooth Chipset : Kirin A1
- Bluetooth Version : 5.1
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation
- มีให้เลือก 2 สี Carbon Black, Ceramic White