ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่านอกจากสมาร์ทโฟนแล้ว ยังมีสมาร์ทวอช หรือสมาร์ทแทร็คเกอร์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายรุ่น หลากหลายราคา ทั้งหลักหมื่น หลักพันไปจนถึงหลักร้อย
แต่สำหรับสมาร์ทวอชหน้าจอสีอาจจะมีราคาสูงนิดนึง หากพูดถึงรุ่นที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปก็มีรุ่นนี้แหละ เดี๋ยวเราจะมา รีวิว Amazfit Verge ให้ได้ชมกัน
แกะกล่อง รีวิว AMAZFIT Verge
ภายในกล่องก็ไม่มีอะไรมาก เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับสมาร์ทวอช Amazfit Verge 1 เรือน สายชาร์จแบตเตอรี่ USB 1 เส้น และคู่มือการใช้งาน 1 เล่ม ไม่ได้มีสายสำรอง หรือสายลายอื่นมาให้ ส่วนอแดปเตอร์ปลั๊กไฟไม่มีมาให้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนมีอแดปเตอร์ USB มากกว่า 1 อันที่จะนำมาใช้กับ Amazfit Verge แน่ๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็ใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ได้
สเปค วัสดุ และรายละเอียดของ AMAZFIT Verge
สมาร์ทวอชรุ่นนี้พื้นฐานระบบปฏิบัติการมาจาก Android Wear OS ซึ่งหากเคยใช้งานอยู่แล้วจะคุ้นเคยมาก แทบจะไม่ต้องทำความเข้าใจเลย เมื่อเปิดเครื่องใช้งานสิ่งแรกเลยที่ประทับใจคือหน้าจอสีสวยชัดเจนมาก เพราะใช้จอแสดงผลแบบ AMOLED ความละเอียด 360 x 360 พิกเซล ขนาด 1.3 นิ้ว หน้าจอเป็นแบบวงกลม เหมาะกับคนที่ไม่ชอบนาฬิกาหน้าจอเหลี่ยมๆ
ตัวเรือนเป็นพลาสติกทั้งหมด ตัวเรือนมีเพียงปุ่ม Home ปุ่มเดียวสำหรับเปิดเครื่อง และใช้ออกจากเมนูไปสู่หน้า Home ส่วนด้านหลังตัวเรือนเป็น Heart rate sensor หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการเต้นของหัวใจ และมีหน้าสัมผัสสำหรับชาร์จแบตเตอรี่อยู่
ส่วนสายเป็นยางเรซิ่น ผิวสัมผัสลื่นๆ นิ่มๆ เมื่อสวมใส่กับข้อมือแล้วให้ความรู้สึกเบา ไม่ระคายผิว ถึงแม้ว่าจะใส่ทั้งวันทั้งคืนทั้งตอนเข้านอนแบบผม สำหรับการถอดเปลี่ยนสายก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ดึงสลักที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย สำหรับความยาวของสายสามารถใส่ได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เพราะอย่างข้อมือผู้ชายใหญ่ๆ อย่างผมก็สามารถใส่ได้ เหลือปลายสายพอสมควร
AMAZFIT Verge ทำอะไรได้บ้าง
อย่างแรกเลยคือสามารถสั่งงานคุยโทรศัพท์จากหน้าจอ มีแป้นตัวเลขให้กดโทรออกด้วย แต่หากรายชื่อเป็นภาษาไทยจะเป็นสี่เหลี่ยม ไม่สามารถแสดงผลได้ รวมไปถึงการแจ้งเตือนต่างๆ ด้วย
ปรับเปลี่ยนหน้าจอนาฬิกา หรือ Watch face ได้ถึง 11 แบบ (อัพเดทถึงวันที่รีวิว) แต่ยังไม่สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ คาดว่าในเวอร์ชั่นใหม่จะสามารถดาวน์โหลดได้เหมือน Android Wear รุ่นอื่นๆ
สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ตลอดทั้งวัน และจะแสดงผลเฉลี่ยการเต้นของหัวใจให้ทราบด้วย แต่หากต้องการประหยัดแบตเตอรี่ก็สามารถปิดฟังก์ชั่นนี้ได้ ส่วนการวัดค่า Vo2Max รุ่นนี้รองรับแล้ว แต่อาจจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ซึ่งฟีเจอร์นี้จะมีในสมาร์ทวอชรุ่นแพงๆ ระดับหมื่นบาทขึ้นไป
รองรับการตรวจจับการออกกำลังกายได้หลายแบบ ทั้งการเดิน, วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, เดินเขา ฯลฯ มี GPS-GLONASS ในตัว ช่วยจับระยะทางขณะออกกำลังกายโดยไม่จำเป็นต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัว และตัวเรือนยังรองรับมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่นระดับ IP68 จึงไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำเข้า สามารถออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจไม่ต้องกลัวเครื่องพัง
หน่วยความจำในเรื่องมีมาให้ 4 GB แต่เหลือให้ใช้งานประมาณ 2.5 GB เพียงพอสำหรับการดาวน์โหลดเพลง MP3 ประมาณ 300-500 เพลง และยังรองรับการเชื่อมต่อหูฟังบลูทูธโดยตรงจากตัวสมาร์ทวอช สามารถนำไปฟังเพลงได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องพกมือถือ นับว่าสะดวกมากๆ
ตรวจสอบการนอนหลับ และอัตราการเต้นของหัวใจขณะนอนหลับได้ เมื่อตื่นขึ้นมาสามารถกดดูได้จากหน้าจอเพื่อดูว่าเราหลับตื้น หลับลึกไปกี่ชั่วโมงกี่นาที และตื่นขึ้นมาช่วงไหนบ้าง และสามารถย้อนกลับไปดูการนอนหลับในวันก่อนๆ เพื่อเป็นสถิติตรวจหาสาเหตุผิดปกติต่างๆ อย่างเช่นตื่นบ่อยเกินไป แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาต่อไป
เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วยแอพฯ AMAZFIT Watch
การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนจะมีแอพฯ Amazfit Watch สำหรับเชื่อมต่อเพื่อดูข้อมูลการใช้งานต่างๆ ทั้งการออกกำลังกาย การนอนหลับ สถิติต่างๆ ที่นาฬิกาเก็บบันทึกไว้ จัดการไฟล์เพลงต่างๆ ดาวน์โหลดลงนาฬิกาได้โดยตรงผ่าน WiFi รวมไปถึงการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ของ Amazfit watch ด้วย สำหรับแอพพลิเคชั่นนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android
AMAZFIT Watch เหมาะกับใคร ?
หากดูจากวัสดุ และดีไซน์ที่ใช้เหมาะกับวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย เพราะดีไซน์ที่ดูสปอร์ต ช่วยเสริมลุคให้เป็นคนดูแอคทีฟตลอดเวลา เหมาะกับทั้งชายและหญิง นำไปใส่กับชุดได้เกือบจะทุกสไตล์ แต่หากแต่งกายกับชุดที่สุภาพเป็นการเป็นงานอาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่
สรุปการใช้งาน
จากการใช้งานมาสักระยะพบว่าเป็นสมาร์ทวอชที่สวมใส่สบาย ด้วยวัสดุที่ไม่ระคายผิว แต่หากจะใส่นอนเพื่อติดตามการนอนอาจจะมีไม่สะดวกนักในช่วงแรกๆ เพราะยังไม่ชิน ต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ ส่วนอื่นๆ ขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
- ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก
- ใช้งานโทรศัพท์สะดวกมาก โทรคุยจากนาฬิกาได้เลย
- หน้าจอสวยมาก ปรับเปลี่ยน Watch face ได้หลากหลาย แต่ดาวน์โหลดเพิ่มเติมไม่ได้
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดต่างๆ ทำได้ค่อนข้างแม่นยำ เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ทั้ง Heart rate sensor, การนับก้าว, การวัดระยะทางและตำแหน่ง
- ออกกำลังกายและนำไปฟังเพลงแบบไร้สายได้โดยไม่ต้องพกสมาร์ทโฟน
- เมื่อชาร์จแบตฯ เต็มใช้งานได้ค่อนข้างนานประมาณ 4-5 วัน
- ยังไม่รองรับภาษาไทย (รออัพเดทเวอร์ชั่นภาษาไทย)
- ราคา 5,990 บาท