Apple เปิดตัว AirPods Max หลังจากร่ำลือกันมายาวนาน โดยมันจะเป็นหูฟังครอบหูตัวแรกจาก Apple และมีระบบตัดเสียงภายนอก (ANC) ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยทำมา
Apple โฆษณาว่า AirPods Max สามารถตัดเสียงได้ดี และมีเสียงที่ดีมากๆ และยังรองรับ Spatial Audio (แบบเดียวกับ AirPods Pro) อีกด้วย โดยตัวหูฟังแต่ละข้างมีไมค์ภายนอกสามตัวเพื่อวิเคราะห์ว่าเสียงใดคือเสียงที่ควรตัดทิ้ง และมีไมค์ภายในอีกตัวเพื่อดูว่ามีเสียงภายนอกหลุดเข้ามาอีกหรือไม่ และถ้าถอดหูฟังออกเพลงที่เล่นอยู่จะหยุดเอง
สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ภายในจะใช้ชิป H1 ตัวเดียวกับที่อยู่ใน AirPods รุ่นต่างๆ ที่ควบคุมเรื่อง Bluetooth และระบบเสียงอย่างที่เราเห็นว่า Apple ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ Computational Audio หรือระบบเสียงที่ผ่านการปรุงแต่งด้วย AI ใน HomePod Mini สำหรับระบบเสียงนั้นรองรับทั้ง 5.1, 7.1, Dolby Atmos โดยจะใช้ Gyroscope เพื่อวิเคราะห์ตำแหน่ง
สำหรับวัสดุที่ใช้ Apple ระบุว่ามันคือ Breathable Knit Mesh สายถักแบบสวมใส่สบาย ไม่ว่าจะเป็นการกระจายน้ำหนัก หรือแรงที่กดลงบนหัว ส่วนเฟรมนั้นทำมาจากสเตนเลสสตีล รองรับศีรษะทุกรูปแบบ ส่วนตัวที่ครอบหูใช้ Memory Foam ที่สามารถคืนตัวได้ ทำให้สวมสบาย ส่วนไดร์เวอร์มีขนาด 40 มม ที่ Apple เคลมว่าเสียงเบสแน่น ย่านกลางซื่อตรง และย่านสูงเฉียบคม และยังโฆษณาอีกว่าใช้วงแหวนแม่เหล็ก Neodymium สองตัว ทำให้เสียงบิดเบือนเพี้ยนไม่ถึง 1% แม้จะเปิดเสียงดังสุดก็ตามที
สำหรับการคอนโทรลนั้นสามารถทำได้จาก iPhone หรือจะสั่งเพิ่มลดเสียงจากเม็ดมะยมด้านบนก็ได้ ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ นั้นก็ไม่แตกต่างจาก AirPods ไม่ว่าจะเป็นการรับสาย การเรียกใช้งาน Siri ทาง Apple การันตีว่าอายุการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอยู่ที่ 20 ชั่วโมง (แบบเปิด ANC และ Spatial Mode) นอกจากนี้ยังมี Smart Case ที่เมื่อใส่หูฟังเอาไว้แล้วจะเปิด Ultra Power State เพื่อประหยัดพลังงานระหว่างที่ไม่ใช้อีกด้วย
Transparency Mode นั้นเหมือนกับบน AirPods Pro ที่ทำให้เราฟังเพลงไปด้วย และได้ยินเสียงภายนอกไปด้วย (เพื่อความปลอดภัย เช่นเวลาข้ามถนน) โดยเราสามารถสลับโหมดตัดเสียงภายนอก และ Transparency ได้ง่ายๆแค่กดปุ่มเดียว
AirPods Max เริ่มเปิดให้จองวันนี้ด้วยราคา $549 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาในหน้าเว็บ Apple Thailand อยู่ที่ 19,900 บาท) ในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มส่งให้ผู้ที่สั่งของ 15 ธันวาคมนี้ ในแพคเพจมีหูฟัง ที่เก็บหูฟัง (ตามภาพด้านบน) และสายชาร์จ Lightning to USB C ส่วนบ้านเราอาจจะช้ากว่านั้นสักหน่อย
ที่มา – Engadget, Apple Newsroom