iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมดของปีนี้จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A11 ที่มีความสามารถในการประมวลผล Deep Learning และทรงพลัง แล้วแรงแค่ไหนน่ะเหรอ? ก็แค่คะแนนเบนช์มาร์กแซงหน้า Intel ที่อยู่ใน MacBook Pro รุ่นที่ขายปีนี้เลยล่ะ
แม้ว่าการทดสอบ Benchmark จะไม่ได้แปลว่าชิปใดชิปหนึ่งแรงกว่าอีกชิปหนึ่งในทุกสถานการณ์ แต่ก็มักจะพอให้เราเห็นภาพคร่าวๆ ว่ามีความแตกต่างในประสิทธิภาพมากแค่ไหน โดยมักจะแบ่งการทดสอบออกเป็นอย่างอย่าง คือ Single Core วัดความสามารถต่อคอร์ว่าสามารถทำงานได้มากน้อยแค่ไหน และ Multi Core ที่ใช้ชิปทั้งหมดร่วมกันประมวลผล ซึ่งถ้าคอร์มากก็มักจะทำคะแนนได้เยอะมากตามไปด้วย
ชิป Apple A11 นั้นมีด้วยกันทั้งหมด 6 คอร์ แบ่งออกเป็น 4 คอร์สำหรับการประมวลผลงานเบาๆ และ 2 คอร์สำหรับการประมวลผลหนักๆ อีกทั้งยังมีชิปแยกเป็น Co-Processor เพื่อการประมวลผลอื่นๆ เช่นการแสกนใบหน้า การทำ Deep Learning โดยเฉพาะอีกด้วย
ชิป Apple A11 ก็เหมือนกับชิปรุ่นก่อนๆ หน้าของ Apple คือเมื่อเปิดตัวปุ๊บก็กลายเป็นชิปที่มีพลังประมวลผลมากที่สุดในวงการในทันที แซงหน้าฝั่ง Android ไม่ว่าจะเป็น Snapdragon 835, Kirin 970 หรือ Exynos 8890 ลิบลับ
ทีเด็ดที่เราต้องบอกก็คือ Apple A11 นั้นเมื่อทำการประมวลผลแบบ Multi Core แล้วมีคะแนนแซงหน้า MacBook Pro 13 นิ้วรุ่นที่วางจำหน่ายปีนี้ด้วยซ้ำ มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Apple A10 Fusion ราวๆ 80% ซึ่งก็ตรงกับที่ Apple โม้ว่าสามารถทำการประมวลผลคำสั่งงาน Deep Learning ได้หลายพันล้านคำสั่งต่อวินาที
ณ วันนี้เรามาถึงจุดที่ชิปสถาปัตยกรรม ARM สามารถทำคะแนน Benchmark แข่งกับ Intel X86 บน MacBook Pro ได้แล้ว
คะแนนของ iPhone 8 จะมากกว่า iPhone 8 Plus และ iPhone X เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะว่ามีการปรับแต่งระบบปฏิบัติการที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะว่าสองรุ่นหลังมีความละเอียดหน้าจอมากกว่า ทำให้คะแนนตกลงไปเล็กน้อย
คงต้องขอย้ำอีกครั้งทิ้งท้ายว่าผลการทดสอบ Benchmark ไม่ได้สะท้อนการใช้งานจริงเสมอไป เนื่องจากมักจะมีตัวแปรหลายๆ อย่างเข้ามาด้วย เช่นความร้อนที่เกิดขึ้น พลังงานที่ใช้ โดยมือถือระดับท็อปไม่ว่าค่ายไหนต่างก็สามารถประมวลผลทั่วๆ ไปได้เสร็จในวินาทีเดียว หรือถ้างานหนักๆ ก็ใช้เวลาสักพักเดียวเท่านั้น
แต่เทคโนโลยีในโลกอนาคตอย่าง Augmented Reality ที่กำลังมาแรง ทำให้น่าสนใจว่าหลังจากนี้ทิศทางของโลกมือถือจะหันไปในทางใด เพราะฝั่ง PC ก็เจอความท้าทายแบบเดียวกันกับ VR มาแล้ว และส่งผลให้การ์ดจอที่วางจำหน่ายช่วงหลังๆ ต้องมีประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดด แล้วมือถือล่ะจะไปทางไหนต่อ ฝั่งผู้พัฒนาชิปประมวลผลคงมีทางเลือกไม่มากนักเนื่องจากต้องคำนึงถึงการควบคุมพลังงานแบตเตอรีให้อยู่ได้ทังวันด้วย เราน่าจะเห็นอนาคตข้างหน้ากันในอีก 2 – 3 ปีหลังจากนี้
ที่มา – Business Insider