ARM เผยโร้ดแมปหน่วยประมวลผล Cortex A series ของปีนี้ยาวไปจนถึงปี 2020 ว่าหลังจากนี้จะมุ่งไปในทางใด และจะใช้เทคโนโลยีใดเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนาดังกล่าว
ในแถลงการณ์ ARM ระบุว่าประสิทธิภาพของ Cortex ตลอดช่วงห้าปีที่ผ่านมามีการเพิ่มประสิทธิภาพหลักสิบเปอร์เซนต์มาตลอดทุกปี และมุ่งหวังจะรักษาความเร็วในการพัฒนาให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ไปตามกฏของมัวร์ (Moore’s Law) แม้ว่าระยะหลังจำนวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มช้ากว่าที่กฏกล่าวเอาไว้เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีก็ตามที แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นเนื่องจากในโลกยุค 5G ที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ทประสิทธิภาพการประมวลผลของฮาร์ดแวร์เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ความเร็วของอินเตอร์เน็ท
ผลงานที่เด่นชัดของปีนี้คือ Cortex A76 ที่เริ่มต้นด้วยหน่วยประมวลผล 10 นาโนเมตร ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า Cortex A75 มากถึง 35% ด้วยกันแม้จะใช้พลังงานเท่าเดิมและปลายปีนี้จะลดกระบวนการผลิตลงไปเหลือ 7 นาโนเมตร ทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อีกมาก และคาดว่าจะเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาให้ทะลุ 3 GHz ได้
สำหรับชิปประมวลผลรุ่นถัดไปยังไม่เผยว่าจะใช้รหัสว่าอะไร แต่โค้ดเนมระหว่างการพัฒนาชื่อว่า Deimos จะเริ่มส่งมอบให้พันธมิตรผู้ผลิตชิป (Qualcomm, MediaTek, Samsung เป็นต้น) ปลายปี 2018 นี้ เนื่องจากไม่ได้ผลิตชิปขายเองแต่ใช้วิธีขายลิขสิทธิ์ให้กับบริษัทเหล่านี้แทน โดยคาดว่าประสิทธิภาพจะดีกว่า Cortex A76 ที่ใช้กระบวนการผลิต 7 นาโนเมตรราวๆ 15% หรือมากกว่า
ส่วนในปี 2019 จะมีชิปใหม่ที่มีโค้ดเน้มพัฒนาว่า Hercules โดยจะเหมือนกับ Cortex-A76 คือจะมีรุ่นที่ใช้ขนาดกระบวนการผลิต 7 นาโนเมตรในช่วงแรก และลดลงเหลือ 5 นาโนเมตรในภายหลัง เป้าหมายคือลดอัตราการบริโภคพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ 10%
ทาง ARM ระบุว่าเป้าหมายในระยะยาวคือพัฒนาเทคโนโลยีให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ 5G จะนำมาสู่โลกยุคใหม่ แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่รู้ว่าจะมีการใช้งาน 5G ในทางใดบ้าง แต่มือถือและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิปนี้ในอนาคตจะสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน และมีแผนจะตีตลาดที่ Intel X86 ครองอยู่ให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Windows หรือ Chromebooks ก็ตามที
สุดท้ายนี้ปี 2018 นี้เป็นก้าวแรกที่เริ่มเข้าสู่โลกของพีซีจริงจัง (ด้วย Qualcomm Snapdragon 835) เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องถูกผูกมัดให้ใช้งานชิปจาก Intel หรือ AMD อีกต่อไป หรือเราจะต้องชาร์จแบตโน้ตบุคทุกๆ สองสามชั่วโมงเพื่อให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้เราน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเมื่อ 5G กลายเป็นมาตรฐานที่ทุกคนต้องใช้งานได้นั่นเอง
ที่มา – ARMnewsroom
