เมื่อวันก่อน เพื่อนใน Facebook ของผมคนหนึ่งตั้งสเตตัสขึ้นมาลอยๆ ว่า “ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลกที่ไม่รู้ว่าทำไมต้อง Drop Test” อืมม… นั่นสินะ ทำไมต้อง Drop Test ด้วย? เพราะ เครื่องที่เอามาทำการทดลองบ้าๆ อะไรแบบนี้ ราคาไม่ค่อยจะถูกๆ ซะด้วย ทำเอาผมและหลายๆ คนมองตาปริบๆ แล้วบอกว่า “เสียดายของ เอามาให้กูดีกว่ามั้ง”
ว่าแล้วก็เคาะคีย์บอร์ดไปถามอากู๋ด้วยความอยากรู้ว่า การทำ Drop Test นั้นมีมาตั้งแต่สมัยไหน มีวิวัฒนาการเป็นอย่างไร และผมก็ได้คำตอบมาครับ
การ Drop Test เริ่มต้นในสมัยที่ Apple เปิดตัว iPhone 4 เมื่อปี 2010 สตีฟ จ็อบส์ บอกกับคนทั้งโลกว่า มันคือ iPhone ที่มีหน้าจอและฝาหลังเป็นกระจกแบบเดียวกันกับของเฮลิคอปเตอร์และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งคำโฆษณาที่ว่านี้คงไปสะกิดต่อมหมั่นไส้ของใครบางคนเข้า บางคนเงินเหลือเยอะก็เลยลองเอาไปทำ Drop Test อัพโหลดขึ้น YouTube จนกลายเป็นเทรนด์ตั้งแต่นั้นมาจนถึง iPhone 5 ในปัจจุบัน ซึ่งรุ่นใหญ่อย่าง iPad, iPad 2 และ The New iPad ก็หนีไม่พ้น หรือแม้แต่คู่แข่งอย่าง Samsung Galaxy S III ก็ไม่รอดวงจรอุบาทว์นี้เช่นกัน อุปกรณ์ทั้งหมดที่ว่ามานี้มีชะตากรรมอันน่าอนาถแบบเดียวกันก็คือ จอแตก ขอบบิ่น ชิ้นส่วนหลุดกระจาย กลายเป็นเศษเหล็ก เศษพลาสติกไร้ค่าไปเลย
ถ้าการทำ Drop Test ถือว่าบ้าแล้ว ผมอยากให้หลายๆ คนลองดูวิวัฒนาการของการ Drop Test แบบบ้าหลุดโลกดังต่อไปนี้
1. อบ
ไมโครเวฟ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หาได้ทั่วไป เซเว่นอีเลฟเว่นก็มี บ้านผมก็มี บ้านคุณผู้อ่านก็คงมีเหมือนกัน แต่สิ่งที่พนักงานเซเว่น ตัวผม และผู้อ่านคงไม่มีก็คือ ความคิดบ้าๆ ที่เอา iPhone 4 เข้าไปใส่ไว้ในเตาไมโครเวฟ พร้อมเร่งความแรงเต็มพิกัด หลังจากโดนบรรจุเข้าไปได้ไม่นาน iPhone 4 ที่ซวยที่สุดในโลก มีอาการจอดับ (ห้ามผวน!) ไฟฟ้าช็อต มีควันโขมงและประกายไฟ เกิดเปลวเพลิงและลุกไหม้เป็นจุลไปในที่สุด ถ้าลูกหลานคนไหนอยากจะส่งไปให้บรรพบุรุษใช้ ผมแนะนำให้ไปหาเอาแถวเยาวราชนะ เค้ามีกงเต็กของแบรนด์เนมทุกอย่างบนภพนี้เลยล่ะ อ้อ! อย่าลืมซื้อที่ชาร์จแบตส่งไปด้วยนะ
2. ปั่น
อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งนึกถึงโคตรแข้งหน้าหล่อ ลูกสี่ พระสวามีแห่งวิคตอเรีย เบ็คแฮม เพราะผมหมายถึง เครื่องปั่นต่างหาก เช่นเดียวกับข้อแรก มันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หาได้ทั่วไปตามสตาร์บัคส์ วิธีใช้ก็ไม่ยาก แค่ใส่ผลไม้หรือเครื่องดื่มลงไปพร้อมน้ำแข็งแล้วกดปุ่มเป็นอันเสร็จพิธี แต่เมนูของคุณ Dick สั้น เอ้ย ดิ๊กสัน แห่ง blendtec.com ไม่เหมือนใครในโลกก็เพราะว่า เขานำ Samsung Galaxy S III และ iPhone 5 ไปปั่นพร้อมกันเพื่อที่จะดูว่า Will It Blend? ผลก็คือ iPhone 5 ที่ใช้วัสดุ Anodized Aluminium (แบบเดียวกับ MacBook) โดนปั่นกระจุยเป็นผุยผงไปก่อน Galaxy S III ที่วัสดุเป็นพลาสติกซะอย่างนั้น
อนึ่ง มิสเตอร์ Tom Dickson เคยยัด iPad เข้าเครื่องปั่นจนเละมาแล้ว ไม่ธรรมดาเลยใช่มั๊ยล่ะ?
3. สแลมดั๊งค์
หนึ่งในกีฬายอดนิยมของอเมริกันชนก็คือ บาสเก็ตบอล และจะทำยังไงถ้าหาลูกบาสไม่ได้… หนุ่มผิวสีในคลิปนี้ก็ตอบว่า “ก็ใช้ iPhone 5 แทนดิ” พ่อหนุ่มคนนั้นลองเลี้ยงลูก ชู๊ตสามแต้ม (ลงอีกต่างหาก) โยนมั่วๆ จนปุ่ม Home หลุดออกมา และปิดท้ายด้วยสวมวิญญาณซากุรางิ ฮานามิจิ โชว์ท่า Slam Dunk จน iPhone 5 แหลกแตกกระจายคาพื้นสนามบาส
4. ยิง
ทั้ง 4 วิธีที่ผมพูดมาข้างต้นนั้นจะดูเบบี๋มากๆ เมื่อเจอกับวิธีสุดท้าย… ยิงด้วยปืนไรเฟิล .50 Cal Sniper! ถึงแม้ว่า กระจกของ iPhone 4 จะเป็นกระจกแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์และรถไฟความเร็วสูง แต่ก็ไม่ใช่กระจกกันกระสุน ซึ่งผลก็คือ โดนทลวงจนเป็นรูโบ๋ตามคาด
จากการศึกษามาทั้งหมดนี้ ผมคิดว่า จุดประสงค์ของการทำ Drop Test ทั้งหลายนั้นน่าจะทำไปเพื่อทดสอบความทนทานของตัวเครื่อง ซึ่งเราน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่า เมื่อกระจกโดนกระแทก มันก็ต้องแตกร้าวเป็นธรรมดา แต่ก็ยังมีคนบ้าหลายๆ คนที่ยังคงทำการ Drop Test อย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ทางที่ดีคือ ไม่ว่าโทรศัพท์มือถือของคุณจะทนทานมากแค่ไหน ก็ควรใช้มันอย่างทะนุถนอมและระมัดระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้