Samsung เปิดตัวสมาร์ทโฟนอย่างยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ Samsung Galaxy S8 รุ่นเดียว แต่ควงแขนเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Samsung Galaxy S8 Plus มาด้วย ซึ่งทั้งสองรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงไปมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของดีไซน์ที่ไร้กรอบ ไรปุ่มโฮม และฟีเจอร์ล้ำสมัย อื่นๆ อีกมากมายอย่างเห็นได้ชัด
Samsung Galaxy S8 Plus
ที่เหนือหน้าจอเล็กลง แต่จัดวางทั้งกล้องหน้า เซ็นเซอร์สแกนม่านตาและอื่นๆ พื้นที่หน้าจอส่วนล่างที่มาพร้อมปุ่ม Home ดีไซน์ใหม่ ขอบเครื่องด้านซ้ายมีทั้งปุ่มวอลลุ่มและปุ่มฟีเจอร์ใหม่ Bixby ถาดใส่ซิมการ์ดแบบไฮบริดบริเวณขอบตัวเครื่องด้านบน ขอบตัวเครื่องด้านล่างมีทั้งช่องหูฟัง พอร์ต USB Type-C ช่องไมโครโฟนและลำโพง ชุดกล้อง 12 ล้านพิกเซล แฟลช และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เนื่องจากทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ด้วยดีไซน์ไร้ขอบข้าง การจัดวางหน้าจอแสดงผลที่ไร้ซึ่งกรอบหน้าจอ และย้ายปุ่มคำสั่งใต้ขอบจอทั้งหมดไปรวมอยู่ในหน้าจอแทน และตัวเครื่องก็ยังมีสีสันใหม่ให้เลือกมากมาย รวมถึงสีดำอันเป็นสเน่ห์แห่งความเรียบหรู และดีไซน์ล้ำสมัย ของทั้งสองรุ่นนี้ไปโดยปริยาย
ในส่วนของขนาดตัวเครื่องมีการออกแบบให้เล็กลงจาก Galaxy S7 / S7edge แต่ได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม พร้อมขอบข้างตัวเครื่องที่บางเป็นพิเศษ (Ultra Thin Bezel) ซึ่งทำจากวัสดุโลหะระดับพรีเมียม รวมไปถึงวัสดุกระจกหน้าจอและกระจกด้านหลังตัวเครื่องที่ใช้วัสดุเป็น Gorilla Glass 5 ที่สะท้อนความเงางาม แต่ยังจับถือใช้งานถนัดมือดี แต่ด้วยความที่ว่าตัวเครื่องมีสัดส่วนที่ยาวกว่าปกติ จึงทำให้ TouchWiz UI ของรุ่นนี้ต้องปรับเปลี่ยนดีไซน์เช่นกัน และสิ่งที่ยังคงอยู่เช่นเดิมคือการประกอบตัวเครื่องที่แน่นหนาดี และรองรับคุณสมบัติกันน้ำลึก 1.5 เมตรนาน 30 นาที (กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68) เลยทีเดียว
หน้าจอแสดงผลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ 6.2 นิ้ว สัดส่วน 18.5:9 ที่ไม่เคยมีในสมาร์ทโฟนรุ่นใดมาก่อน ซึ่งให้มุมมองในการใช้งานสมาร์ทโฟนกว้างกว่าที่เคย (จากสัดส่วนหน้าจอ 16:9) เพิ่มอรรถรสในการดูหนังและเล่นเกมโดยพื้นที่หน้าจอแสดงผลที่ขยายเพิ่มขึ้น ลดขอบดำบริเวณด้านข้างวิดีโอให้ลดลง ส่วนชนิดหน้าจอเป็นแบบ Super AMOLED ที่โดดเด่นในเรื่องความสดใสและแสดงสีสันจัดจ้าน มีความละเอียดหน้าจอระดับ 2220 x 1080 (Full HD+) พิกเซลตามสัดส่วนของหน้าจอ แต่สามารถปรับความละเอียดหน้าจอให้สูงขึ้นไปที่ระดับ WQHD+ (2960 x 1440 พิกเซล) หรือลดความละเอียดมาที่ระดับ HD+ (1480 x 720 พิกเซล) ก็ได้ นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นก็ยังมีความพิเศษที่เหมือนกัน คือ มุมหน้าจอจะมีลักษณะเป็นมุมโค้ง แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มุมหน้าจอเป็นมุมฉากเพื่อให้รับกับดีไซน์ของตัวเครื่องนั่นเอง
ส่วน TouchWiz UI แบบใหม่ใน Samsung Galaxy S8+ จะไม่มีปุ่ม Apps เพื่อเข้าสู่หน้ารวมเมนู (App Drawer) อีกต่อไป แต่ใช้วิธีการปัดหน้าจอขึ้นด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้ารวมเมนูแทน และใช้วิธีปัดหน้าจอลงเพื่อกลับหน้าจอหลักได้ และปุ่มคำสั่งใต้ขอบจอทั้ง 3 ปุ่มถูกย้ายไปอยู่ข้างในส่วนล่างของหน้าจอเรียบร้อย พร้อมปุ่ม Home ที่มาพร้อมเทคโนโลยี 3D Touch แม้ตัวปุ่มจะอยู่ในส่วนของหน้าจอก็ตาม ซึ่งต้องใช้แรงกดลงไปสักนิด ซึ่งก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายกับการกดปุ่ม Home แบบเดิมๆ แต่ไม่ต้องออกแรงกดเยอะจนเกินไป
ลูกเล่นเสริมผ่านหน้าจอโค้งก็ไม่ธรรมดา นอกจากเมนู Edge Panel แสดงการแจ้งเตือนและข่าวสารต่างๆ บนขอบโค้งหน้าจอ และ Edge Lighting ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีสายเข้าแล้ว นอกจากนี้ก็จะมี Pop-Up แจ้งเตือนสายเข้าขนาดเล็กบนหน้าจอ ทำให้ไม่รบกวนสายตาขณะใช้งาน พร้อมแสงไฟ Edge Lighting ที่จะวิ่งทั้ง 4 ด้านของหน้าจออย่างสวยงาม จากเดิมที่ Edge Lighting จะแสดงผลบนขอบหน้าจอด้านซ้ายหรือขวาเท่านั้น
ในส่วนของขุมพลังภายในก็เป็นอีกจุดเด่นที่น่าสนใจไม่แพ้จุดอื่นๆ ด้วยชิพเซตประมวลผล Exynos 8895 Octa-core, RAM 4 GB, ROM หรือพื้นที่ภายในเครื่อง 64 GB และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.0 (Nougat) แม้จะไม่ได้ ROM 128 GB และ RAM 6 GB ก็ไม่ต้องเสียใจกันไป เพราะพลังความแรง ความลื่นไหลที่ได้มานั้นก็ทำได้ดีมากอยู่แล้ว รวมถึงการจัดการประสิทธิภาพของเครื่อง และการประหยัดพลังงานที่ซัมซุงเครมว่าสามารถทำได้ดีกว่าทุกรุ่นที่เคยมีมา สังเกตได้จากการใช้งานมาสักระยะ แบตเตอรี่มีความอึด ถึกทน ใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงความจุแบตเตอรี่ 3,500 มิลลิแอมป์ที่ถือว่าสูงใช้ได้และยังรองรับการชาร์จแบบเร็ว (Fast Charging) อีกด้วย
ถัดมาในส่วนของระบบการสแกนม่านตาหรือ Iris Scanning กลับมาใน Samsung Galaxy S8+ อีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นฟีเจอร์นี้ครั้งแรกใน Galaxy Note 7 กันไปนั้น ใน Samsung Galaxy S8+ ก็มีฟีเจอร์การสแกนใบหน้า (Face Recognition) เข้ามาเสริมด้วย โดยหลักการทำงานของการสแกนม่านตา ทำงานโดยเซ็นเซอร์ที่ซ่อนอยู่เหนือขอบจอด้านบนร่วมกับกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล และต้องบันทึกลายม่านตาที่ต้องการลงไปในเครื่องก่อนการใช้งานครั้งแรก โดยม่านตานั้นจะต้องไม่มีแว่นตาเลนส์สีและคอนแทคเลนส์สีสันบดบัง และบันทึกลายม่านตาได้ 1 คู่เท่านั้น ส่วนการใช้งานปลดล็อคหน้าจอด้วยม่านตา ถือว่ารวดเร็วมากๆ เพียงเสี้ยววินาที ส่วนการสแกนโครงใบหน้าก็มีหลักการทำงานคล้ายๆ การสแกนม่านตา แต่เปลี่ยนจากการบันทึกลายม่านตาเป็นใบหน้าแทน และทำงานได้รวดเร็วมากๆ เช่นกัน ส่วนการสแกนลายนิ้วมือ สามารถทำได้เช่นเคย แต่ในรุ่นนี้กลับย้ายเซ็นเซอร์ไปไว้ในจุดใหม่อย่างด้านหลังใกล้กล้องถ่ายภาพที่แทน แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ตรงกับการวางนิ้วชี้ของหลายๆ คน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ใน S8 และ S8+ อย่าง bixby ผู้ช่วยส่วนตัวรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการใช้งานทั้งหมด เพียงกดเรียก Bixby ผ่านปุ่มด้านซ้ายใกล้ปุ่มวอลลุ่ม ก็สามารถค้นข้อมูลและสั่งงานต่างๆ ได้ผ่านทางเสียงและภาพ ทั้งการใช้เสียงสั่งงานเข้าสู่เมนูต่างๆ หรือทำตามคำสั่ง เช่น สั่งให้โทรศัพท์โทรออก ส่งอีเมล์ ฯลฯ ,ฟีเจอร์ Home ที่รวมแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานบ่อย ข่าวสารที่ผู้ใช้ค้นหาเป็นประจำ และถ้าใครต้องใช้งานแจ้งเตือนความจำและนัดหมาย ขอแนะนำฟีเจอร์ Reminder ที่สั่งงานให้ Bixby แจ้งเตือนต่างๆ หรือแม้กระทั่งภาพถ่าย Bixby ก็ช่วยให้คุณนำภาพถ่ายมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น การใช้ภาพถ่ายค้นหาข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ทั้ง Image การค้นข้อมูลด้วยภาพถ่ายจากเครื่อง, Shopping การค้นหาสินค้าในเว็บไซต์ Amazon, Place การค้นหาสถานที่ร่วมกับแอปพลิเคชั่น Foursquare ฯลฯ แต่การใช้งาน Bixby ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตร่วมด้วยทุกครั้ง แต่ … Bixby ในบ้านเรายังไม่สามารถใช้งานได้นะจ้ะ ตอนนี้ใช้ได้เฉพาะในเกาหลี คาดว่าในอนาคตน่าจะสามารถใช้ได้ในอีกหลายๆประเทศ
ถัดมา มาดูกันต่อในส่วนของกล้องกันบ้าง สำหรับรุ่นนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์การถ่ายภาพด้วยกล้อง 12 ล้านพิกเซลและเทคโนโลยี Dual Pixel ที่ให้ภาพถ่ายที่มีสีสันที่สดใสสมจริง ความคมชัดในระดับเทพมาให้ได้ใช้งานกันเช่นเดิมผ่านระบบประมวลผล Enhanced Image Processing จับทุกการเคลื่อนไหวให้ภาพคมชัดกว่าที่เคย ด้วย Multi Frame Technology หรือการรวมภาพถ่าย 3 ภาพเข้ากันแล้วเอามารวมกันเป็นภาพเดียว รวมถึงระบบ Smart Auto Focus ที่จับโฟกัสวัตถุและถ่ายภาพได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วเหลือเชื่อ ส่วนจุดเด่นสำคัญของกล้อง มีทั้งรูรับแสงกว้าง F/1.7 ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำให้ภาพถ่ายสว่างขึ้นในที่แสงน้อย ซึ่งทดสอบถ่ายภาพในสภาพแสงค่อนข้างริบหรี่ ก็ได้ภาพถ่ายที่สว่างสมจริง ไม่สว่างจ้าจนเกินไป หรือจะเป็นลูกเล่นฟรุ้งฟริ้งเอาใจสาวๆ ด้วยสติกเกอร์รูปสัตว์น่ารักๆ ตกแต่งใบหน้าเมื่อเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ไม่ต้องโหลดแอปฯ ใดๆ ก็น่ารักได้ตามสไตล์ของคุณ ส่วนการเซลฟี่ก็ยังทำให้สาวๆ ออกมาสวยวิ้ง แต่ใบหน้าของคุณคมชัดโดดเด่นด้วย Smart Auto Focus ในกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่าย
ส่วนความสามารถด้านอื่นๆ Samsung ก็ใส่กันมาแบบไม่อั้นเช่นกัน ทั้งการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทั้ง USB Type-C , การใช้งานอุปกรณ์เสริม dex ที่แปลงร่าง Samsung Galaxy S8 + ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์, ใช้งาน 2 ซิมการ์ด (รองรับสลอตไฮบริด) หรือจะเลือกใช้งาน 1 ซิมการ์ดพร้อมเพิ่มหน่วยความจำ microSD สูงสุด 256 GB ก็ได้ เก็บทั้งรูป ทั้งหนังกันอย่างจุใจไปเลย
Final Opinion Conclusion
หลายคนอาจคิดว่า Samsung Galaxy S8/S8+ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยังคงกลิ่นอายของ Samsung Galaxy S7/S7edge รุ่นพี่ ซึ่งจะว่าเช่นนั้นก็ไม่ผิด แต่ถ้าได้ลองเล่น ลองสัมผัส คุณจะพบกับเอกลักษณ์ที่โดดเด่นจากดีไซน์ไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮม สีสันเฉดใหม่ และฟีเจอร์ล้ำอนาคตมากมายที่โดดเด่นกว่าใคร ทั้งการสแกนม่านตา ผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Bixby กล้องถ่ายภาพที่ยังให้ภาพถ่ายที่สวยงาม และยังเชื่อมต่อเข้ากับ dex เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อีกต่างหาก พร้อมสัมผัสความแตกต่างและประสบการณ์ใหม่ผ่าน Samsung Galaxy S8+ ได้แล้ววันนี้
Strength
– ดีไซน์ใหม่ ไร้กรอบ ตัวเครื่องเล็กลงพร้อมหน้าจอที่ใหญ่กว่า
– หน้าจอแสดงผล 6.2 นิ้ว, ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2220 พิกเซล)
– กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล / รูรับแสง F1.7 / เทคโนโลยี Dual Pixel
– กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล / รูรับแสงกว้าง F1.7 พร้อมสติกเกอร์แต่งภาพเซลฟี่
– ระบบประมวลผล Enhanced Image Processing และ Multi Frame Technology
– ผู้ช่วยส่วนตัวรูปแบบใหม่ Bixby รองรับคำสั่งทั้งภาพและเสียง
– RAM 4 GB / ROM 64 GB / เพิ่ม microSD สูงสุด 256 GB
– ระบบปฏิบัติการ Android 7.0 (Nougat)
– รองรับการสแกนม่านตา ใบหน้า ลายนิ้วมือ / เชื่อมต่อ USB Type-C
– กันน้ำลึก 1.5 เมตรนาน 30 นาที (ระดับ IP68)
On Focus 1
– สติกเกอร์แต่งหน้าเมื่อเซลฟี่ มีให้โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปฯ
On Focus 2
– รองรับการสแกนใบหน้าและสแกนม่านตา