Huawei เปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ Huawei Watch 3 โดยรอบนี้เปิดตัวมาพร้อมกับ HarmonyOS 2.0
ตัวนาฬิกามีแยกสองรุ่น ได้แก่ Huawei Watch 3 และ Huawei Watch 3 Pro ที่ความแตกต่างคือบอดี้ของรุ่นโปรจะเป็นไทเทเนียม และแบตเตอรีจะอึดกว่าเล็กน้อย
Huawei Watch 3
Huawei ออกแบบรุ่นนี้ให้ควบคุมการใช้งานผ่านเม็ดมะยมอยู่ด้านขวาบน โดยให้เหตุผลว่าจะเปิดหน้าตาต่างๆ ของระบบปฏิบัติการได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งทนทานสภาพอากาศทุกประเภทด้วย ทำให้แม้จะหนาวมือแห้ง หรือฝนตกมือถือเปียก ก็สามารถสั่งการได้
หน้าจอเป็นวงกลมขนาด 1.43 นิ้ว (AMOLED) ขอบจอบางลงกว่าเดิมมาก กระจกระบุว่าเป็นกระจกเสริมแรงเพิ่มความทนทาน ส่วนบอดี้ตัวเครื่องเป็นเหล็กกล้า ส่วนด้านหลังเป็นเซรามิก ตัวเครื่องทนน้ำได้ที่ระดับ 5 ATM
เซนเซอร์ด้านหลังตัวเครื่องจะมีตัววัดค่าจังหวะชีพจร ตัววัดระดับออกซิเจน ตัววัดอุณหภูมิพื้นผิว และจะทำงานตลอดเวลาเพื่อติดตามการนอน ความเครียดระหว่างวัน
ตัวนาฬิกาใช้ eSIM ทำให้แม้จะไม่มีมือถือด้วยก็ใช้งานได้ แต่จะรองรับที่ 4G LTE เท่านั้น (ใช้รับสายได้ ไม่ได้จำกัดแค่การใช้เน็ทเท่านั้น) ตัวเครื่องสามารถสตรีมเพลงจาก Huawei Music ไปยังหูฟังบลูทูธได้ นอกจากนี้ยังทำ Video call ได้ด้วยแม้มันจะไม่มีกล้องก็ตาม (จะเป็นการทำ Video call ข้างเดียว)
แบตเตอรีนั้นโฆษณาว่าอยู่ได้ 3 วันแม้จะเปิดใช้งาน 4G LTE ก็ตาม และยังมีโหมดทนนานอย่าง Ultra-Long Lasting Mode ทำให้อายุการใช้งานต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งกลายเป็น 14 วัน
ตัวเครื่องมี App Gallery สำหรับติดตั้งแอพ HarmonyOS ในตัว (ไม่ต้องพึ่งมือถือเพื่อติดตั้งแอพแล้ว) ซึ่งทาง Huawei ไม่ได้ระบุสเปคของ Huawei Watch 3 ออกมา โฆษณาแค่ว่ามีหน่วยความจำ 2GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 16GB
Huawei Watch 3 สามารถบันทึกการออกกำลังกายกว่า 100 ประเภท มีโหมด fall detection ช่วยแจ้งเตือนถ้าหากผู้ใช้ต้องการความช่วยเหลือเช่นรถชน ตกบันได ตัวนาฬิการองรับการหาพิกัดตำแหน่งด้วย GPS, GLONASS, Galleo, Beidou, QZSS
ราคาวางจำหน่ายในจีนอยู่ที่ 2600 หยวน ส่วนสายรัดนาฬิกามีขายแยกด้วย เส้นละ 200 หยวน
Huawei Watch 3 Pro
สำหรับรุ่นโปร หน้าตาจะดูคลาสสิกคล้ายกับนาฬิกาหรูมากขึ้น เช่นบอดี้นาฬิกาเป็นไทเทเนียม (ด้านหลังยังคงใช้เซรามิกเหมือนเดิม) ส่วนหน้าจอนั้นใช้กระจกแซฟไฟร์ และหน้าจอใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ส่วนแบตเตอรีอึดขึ้นเป็น 5 วันในการใช้ปกติ และ 21 วันในโหมด Ultra-Long Lasting
ตัวนาฬิการองรับ Dual-Band GPS ทำให้รับสัญญาณได้แม่นยำขึ้น และรวดเร็วขึ้นแม้จะอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ก็ตาม ฟีเจอร์ที่เพิ่มมานี้ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 3,300 หยวน
ที่มา – GSMarena