Counterpoint Research เผยตัวเลขต้นทุนการผลิต iPhone 12 ว่าอยู่ที่ราวๆ $431 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่า iPhone 11 ที่สเปคความจุเท่ากันราวๆ 26% ด้วยกัน
ตัวแปรหลักที่ทำให้ราคาของ iPhone 12 แพงก็หนีไม่พ้นชิ้นส่วนสำหรับการเชื่อมต่อ 5G โดยเฉพาะรุ่นที่วางจำหน่ายในสหรัฐที่ต้องรองรับความถี่แบบ mmWave 5G นั่นเอง สำหรับรุ่นปกติที่ใช้ความถี่ 5G ช่วง Sub-6GHz จะถูกกว่ารุ่นในสหรัฐราวๆ 18% ด้วยกัน
สำหรับชิปประมวลผลนั้น Apple A14 มีความยากในการผลิตมากกว่า Apple A13 ด้วย โดยมีจำนวนทรานซิสเตอร์บนชิปเพิ่มขึ้นราวๆ 39% เป็นผลมาจากการขยับไปใช้กระบวนการผลิตขนาด 5 นาโนเมตร อย่างไรก็ตามแผงเวเฟอร์ในโรงงานนั้นราคา 5 นาโนเมตรแพงกว่า 7 นาโนเมตรเกือบๆ สองเท่าเนื่องด้วยความยากในกระบวนการผลิต และมีอัตราการผลิตเสียค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ 7 นาโนเมตร ทำให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นอีกราวๆ $17 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิป นอกจากนี้ iPhone 12 ใช้หน้าจอ OLED ขณะที่ iPhone 11 นั้นใช้เพียงหน้าจอ LCD เท่านั้น ทำให้ราคาของ iPhone 12 มีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่ามาก
สำหรับราคาชิ้นส่วนอื่นๆ นั้น Apple ได้พยายามกดให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว โดยมีการจ้างแหล่งผลิตวัตถุดิบหลากหลายรายเพื่อให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น
- หน่วยความจำ NAND Flash: Samsung, KIOXIA (Toshiba)
- หน่วยความจำ LPDDR4X: SK Hynix, Micron
- กล้อง: SONY, LG Innotek, Sharp
- โมเดมไร้สาย: NXP, Broadcom
- ระบบเสียง: Cirrus Logic, Goertek, Knowles, AAC
- ระบบควบคุมพลังงานและแบตเตอรี: TI, ST
อย่างไรก็ตามตัวเลข $431 ดอลลาร์สหรัฐนี้คือราคาต้นทุนชิ้นส่วนต่างๆ ยังไม่รวมค่าประกอบที่ว่าจ้างให้ Foxconn ทำให้ รวมไปถึงค่าขนส่งไปวางจำหน่ายทั่วโลก และค่าวิจัยพัฒนาที่ออกแบบสรรสร้างออกมาเป็น iPhone 12 นั่นเอง
ที่มา – 9to5Mac