มาลองดูกันนะครับว่า 5 เหตุผลอะไรบ้าง ที่ Apple น่าจะเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันบริษัทแรกที่มีมูลค่าถึงหลักล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ตั้งแต่ Tim Cook ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน Steve Jobs ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2011 ก็ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า Cook จะบริหารบริษัทฯยักษ์ใหญ่อย่าง แอปเปิ้ลไปในทิศทางไหน ผลการดำเนินงาน รายได้ และ กำไรจะเป็นอย่างไร?
หากดูจากผลการดำเนินงานในไตรมาสล่าสุด พบว่า ยอดรายได้ของไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 5.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สถิติ หรือตัวเลขไม่เคยหลอกใคร และแน่นอนว่า ปี 2015 ดูจะเป็นปีที่ แอปเปิ้ล นั้นประสบความสำเร็จสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะ รายได้ที่โตขึ้นกว่าเดิมถึง 28% หรือประมาณ 2.34 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งความสำเร็จที่ต่อเนื่องมาเรื่อยๆนั้น Tim Cook กล่าวไว้ว่า น่าจะเป็นผลมาจากการที่เค้าและพนักงานแอปเปิ้ลส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุด นวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุด และเป็นข้อพิสูจน์ความมีประสิทธิภาพของทีมงานของแอปเปิ้ลได้ดี
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 นิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้ Apple เป็น “แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก” หรือ The Most Valuable Brand in the World นั่นเอง โดยประเมิลมูลค่าออกมาได้ 7.418 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ตำแหน่งรองลงมา คือ ExxonMobil บริษัทน้ำมัน ที่มูลค่าอยู่ที่ 3.63 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ตามมาด้วย Berkshire Hathaway บริษัทของนักลงทุนชื่อดัง Warren Buffet ที่มูลค่าอยู่ที่ 3.47 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
และ Microsoft ยักษ์ใหญ่ในวงการซอฟต์แวร์ ที่มูลค่าอยู่ที่ 3.39 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
คำถามคือ เป็นไปได้ไหม ที่ Apple จะเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าแตะ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ?
มันก็คงเป็นไปได้ครับ ซึ่ง ถ้าจะไปให้ถึงจุดนั้นได้ 5 ปัจจัยหลักๆที่จะส่งให้แอปเปิ้ลไปถึงเป้าหมายดังกล่าวมีดังต่อไปนี้ครับ
(1) แอปเปิ้ลต้องตีตลาดจีนให้แตก
ณ ปัจจุบัน แอปเปิ้ล เปิด retail store ในประเทศไปแล้วถึง 25 ร้านด้วยกัน และมีแผนว่าจะเปิดเพิ่มอีก 15 แห่งในช่วงประมาณกลางๆปีหน้า
ด้วยอานิสงส์ของ retail store ที่มีอยู่เยอะมาก บวกกับความนิยมของ iPhone 6s ซึ่งขายในประเทศจีนได้มากพอสมควร ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของแอปเปิ้ลเลยก็ว่าได้ ซึ่งกลุ่มคนชั้นกลางนั้น มีจำนวนประมาณ 50 ล้านคน (ข้อมูลของเมื่อ 5 ปีก่อน) และคาดว่า มันจะโตขึ้นเป็น 10 เท่าภายในปี 2020
ซึ่ง Tim Cook กล่าวไว้ว่า บริษัทฯเล็งที่จะลงทุนเพิ่มในประเทศจีนในอีก 10 ปี และประเทศจีนจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ลแน่นอน
หากดูจากยอดขาย จะพบว่า ยอดขายในประเทศจีนนั้น โตขึ้น 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 99% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมียอดขายเพียง 6.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ยอดขายของ iPhone ก็โตขึ้นถึง 120% อีกทั้งรายได้ของ App Store ก็โตขึ้นถึง 127% ในระยะเวลา 1 ปีเลยทีเดียว
(2) ตราบใดที่เงินยังคงเป็นพระเจ้าอยู่
ข้อมูลจากนิตยสาร TIME ระบุว่าแอปเปิ้ลมีเงินสดในมือมากกว่าบริษัทดังต่อไปนี้รวมกันซะอีก ซึ่งได้แก่
- Microsoft ที่มีเงินสดอยู่ 9.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
- Google ที่มีเงินสดอยู่ 7.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
- Amazon ที่มีเงินสดอยู่ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
- Facebook ที่มีเงินสดอยู่ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยสินทรัพย์ในส่วนที่เป็นเงินสดของแอปเปิ้ล ที่ 2.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ที่สามารถหามาได้ทั้งหมด
(3) Carl Icahn คิดว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
Carl Icahn อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินกว่า 2.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐคิดว่า มูลค่าหุ้น ณ ปัจจุบันของแอปเปิ้ล นั้นถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป (ราคาหุ้นปัจจุบันของ Apple อยู่ที่ 117 ดอลล่าร์ต่อหุ้น)
ในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งไปถึง Tim Cook (ซีอีโอของแอปเปิ้ล) เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ระบุว่า เมื่อราคาซื้อ-ขายหุ้นของแอปเปิ้ล อยู่ที่หุ้นละ 128 ดอลล่าร์ ทาง Icahn แนะนำว่า หุ้นของแอปเปิ้ลจะมีราคาวิ่งไปถึง 240 ดอลล่าร์ต่อหุ้นเลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้ market capital ของบริษัทฯเท่ากับ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งข้อโต้แย้งหลักๆที่ Icahn ระบุ คือ ไม่มีใครเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของแอปเปิ้ล และเขามองว่า Wall Street ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับแอปเปิ้ลไว้ผิด ทำให้มองการเติบโตของบริษัทฯผิดไปตามที่มันควรจะเป็น
(4) iPad และ Apple Music ไม่ใช่ตัวถ่วงของบริษัทฯแต่อย่างใด
ถึงแม้แอปเปิ้ลจะยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในตลาดแท็ปเล็ตได้ถึง 73% แต่ก็มีกลุ่มคนไม่น้อยเลยที่มองว่า iPad เป็นจุดอ่อนของบริษัทฯ
ถึงแม้ยอดขายจะต่ำกว่า 10 ล้านเครื่องในการออกขายครั้งแรกในปี 2011 แต่ CFO ของบริษัทฯอย่าง Luca Maestri ระบุว่า การที่ยอดขายของ iPad ไม่ค่อยจะสู้ดีในเวลานั้น ส่งผลอย่างมากกับยอดขายของสมาร์ทโฟนขนาดหน้าจอใหญ่อย่าง iPhone 6 Plus เป็นอย่างมาก
สำหรับแอปเปิ้ล มิวสิค มีคนจ่ายเงินสมัคร subscribe ถึง 6.5 ล้านคน และถูกมองว่า ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ (แต่อย่างไรก็ตามตัวแอพฯอ่านข่าวอย่าง News App นั้นมีผู้อ่านมากถึง 40 ล้านคนแล้ว ตั้งแต่วันที่ระบบปฏิบัติการ iOS 9 เปิดตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา)
(5) ถึง Apple Watch ตัวแรกจะไม่ปัง แต่ก็ยังมียอดขายของ Mac ประคองไว้อยู่
แอปเปิ้ล วอชตัวแรกของแอปเปิ้ล อาจถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวของบริษัทฯ เพราะ มันไม่ได้ค่อยจะสู้ดีนักในตลาด wearable หากเทียบกับสิ่งที่ iPhone ทำในได้ในตลาดสมาร์ทโฟน
แต่ถึงจะถูกมองว่าล้มเหลว แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะ บริษัทฯเองก็ยังมีสิ่งที่กู้หน้าได้ นั่นของยอดขายของ Mac ที่โตขึ้นกว่าเดิม 3% จากไตรมาสล่าสุด ซึ่งขายได้เพิ่มขึ้นอีก 5.7 ล้านเครื่องเลยทีเดียว
และในทางกลับกัน พวกยอดขาย PC อื่นๆ ตกลงไปถึง 11% เลยทีเดียว
ถ้าเกิดบริษัทฯปรับปรุง แอปเปิ้ล วอช ตัวต่อไปให้แก้ข้อบกพร่องที่พบในรุ่นแรกได้ล่ะก็ อนาคตของบริษัทฯน่าจะสดใสขึ้นกว่านี้แน่นอน
ซึ่งนอกเหนือจาก 5 ปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีเรื่อง Project Titan
Project Titan คือ ส่วนของยานยนต์ที่ทางแอปเปิ้ลพัฒนาขึ้น ซึ่งมันก็ยังไม่มีรายงานออกมาเป็นที่แน่นอนว่า โครงการที่มีทีมงานกว่า 100 ชีวิตร่วมลงมือทำกันอยู่นั้น จะเป็นโครงการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ (driverless) อย่างที่คาดการณ์กันเอาไว้หรือไม่
ในเดือนกันยายน 2015 Apple Car ได้อัพเกรดสถานะของโครงการขึ้นเป็น “committed project” นั่นหมายถึง แอปเปิ้ลจะต้องโฟกัสและให้ความสำคัญมากตั้งแต่ขั้นพัฒนา
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มกำลังคนเป็น 1,800 คน โดยมีการตั้งเป้าว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2019
ถ้าเกิดยานยนต์ของแอปเปิ้ลเสร็จสมบูรณ์ บวกกับปัจจัยข้างต้นที่กล่าวไว้ข้างบน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ แอปเปิ้ลจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เรื่องมูลค่าของบริษัทฯจะถึงหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ 🙂
ช้อมูลจาก : highsnobiety