เมื่อปี 2014 ทาง Motorola Mobility ได้สร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่สนใจสมาร์ทวอชระบบปฏิบัติการ Android Wear ด้วยการส่ง Moto 360 ที่มีหน้าปัดกลมออกมาเป็นรุ่นแรก ดูไม่แตกต่างกับนาฬิกาทั่วไป รวมถึงการออกแบบให้เรียบง่าย แต่ดูหรูหรา ตัวสายที่เปลี่ยนสายนาฬิกาได้
และแล้วก็มาถึงรุ่นที่ 2 (2nd Gen) ที่มีการปรับตัวเรือนให้มีความบางลงกว่าเดิม ดีไซน์ไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่มีการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับผู้ใช้ยิ่งขึ้น มีการทำตัวเรือนเป็น 2 ขนาดสำหรับผู้ชายและผู้หญิง 46mm และ 42 mm
แกะกล่อง Moto 360 (2nd Gen)
สำหรับตัวกล่องก็จะเป็นทรงกระบอก ฝาปิดใส โชว์ตัวเรือนให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้ามองจากด้านบนก็จะเห็นเป็นวงกลม ดูเหมือนเป็นการย้ำถึงดีไซน์หน้าปัดกลมของ Moto 360 อีกด้วย
ด้านล่างของกล่องจะมีบอกรายละเอียดว่าภายในกล่องจะมีอะไรบ้าง และรองรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟนอะไร ซึ่งหากเป็น Android ก็จะต้องการเวอร์ชั่น 4.3 ขึ้นไป ส่วน iPhone ก็จะรองรับรุ่น iPhone 5, iPhone 5c, iPhone 5s, iPhone 6, iPhone 6 Plus และรุ่นใหม่ที่มีระบบปฏิบัติการ iOS 8.2 ขึ้นไป
เมื่อดึงกล่องส่วนของตัวเรือนขึ้นมา ก็จะมีคู่มือการใช้งาน, อแดปเตอร์สายชาร์จ และ แท่นชาร์จอยู่ในกล่อง สำหรับการชาร์จ ก็แค่นำตัวเรือนไปวางบนแท่นเท่านั้น
ดีไซน์
Moto 360 (2nd Gen) นั้นมีหน้าปัดทรงกลม บอดี้ทำจากสแตนเลสสตีล 316L สีเงิน ส่วนของผู้หญิงจะเป็นสี Rose Gold หรือสีทองชมพูนั่นเอง ดูหรูหรา และสวยงามมาก หน้าจอมีความละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม โดยขนาด 46mm จะมีขนาด 1.56 นิ้ว ความละเอียด 360 X 330 พิกเซล ความหนาแน่น 233ppi ส่วนรุ่น 42mm มีขนาด 1.37 นิ้ว ความละเอียด 360 X 325 พิกเซล ความหนาแน่น 263ppi เนื่องจากมีหน้าจอขนาดเล็กกว่าจึงให้ภาพที่คมชัดกว่า
ถึงแม้หน้าปัดจะกลม แต่หน้าจอการแสดงผลนั้นไม่ได้กลมตาม โดยหน้าจอจะเป็นแบบ Flat tire หากให้นึกภาพต้องลองนึกล้อยางที่แบนมีการตัดพื้นดำด้านล่าง แถบพื้นดำนี้เองจะมีเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมกันอยู่ตรงนี้
ตัวล็อคสายในรุ่นนี้ ยื่นออกมาจากตัวเรือนให้เห็นอย่างชัดเจน ส่งผลให้ดูมีความแข็งแรงและยังทำให้การเปลี่ยนสายนั้นสะดวกขึ้นกว่ารุ่นแรกอีกด้วย โดยจะมีสลักสำหรับถอดเปลี่ยนอยู่ทางด้านในของสายแต่ละข้าง แค่ดึงลงมา ก็สามารถถอดสายออกเพื่อเปลี่ยนสายได้เลย
สำหรับรุ่นที่ได้มาทดสอบนี้ ก็มาพร้อมกับสายหนังที่ฟอกด้วย Horween Leather โรงงานฟอกหนังระดับโลก มีการสลักชื่อโรงงานไว้ด้านในของสาย สำหรับผู้ชายจะเป็นสายหนัง Cognac leather ส่วนของผู้หญิงจะเป็น Blush leather ซึ่งสามารถหาสายขนาด 22mm และ 20mm มาเปลี่ยนแทนได้ ส่วนของผู้หญิงจะเป็นสายขนาด 16mm
ปุ่มกดด้านข้างมีการปรับเลื่อนขึ้นไปยังด้านบนเล็กน้อย เหตุผลอาจจะทำให้การกดใช้งานได้ง่ายขึ้น ไม่ติดกับผิวหนังหรือข้อมือมากเกิด ซึ่งยังคงใช้งานเป็นปุ่มเปิด/ปิดหน้าจอ, ปุ่ม Power และ ปุ่ม Home อยู่เหมือนเดิม การปรับเลื่อนปุ่มกดขึ้นนี้ยังทำให้ตัวเรือนดูสวยงามโฉบเฉี่ยวขึ้นด้วย
ใต้ตัวเรือนมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor) ซึ่งจะมีกระจกครอบอีกชั้น เมื่อเซ็นเซอร์ทำงานจะมีแสงไฟสีเขียวส่องออกมาจากช่องตรงกลางนี้
ภาพรวมของ Moto 360 (2nd Gen) นี้ ยังคงดูสวยงาม เรียบง่าย และหรูหรา น้ำหนักเบา ขนาดหน้าปัดพอดีกับข้อมือ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง อีกทั้งยังสามารถถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาเพื่อให้เข้ากับสไตล์ของผู้ใช้งานได้มากขึ้น
การใช้งาน
Moto 360 (2nd Gen) รองรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟน Android เวอร์ชั่น 4.3 ขึ้นไป และ iOS เวอร์ชั่น 8.2 ขึ้นไป โดยจะเป็นรุ่น iPhone 5 ขึ้นไป ซึ่งจะต้องใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่น Android Wear เพื่อการจับคู่ในการเริ่มต้นใช้งาน และการตั้งค่าต่างๆ แน่นอนว่าการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน Android จะสามารถทำอะไรได้มากกว่าการใช้งานกับฝั่ง iOS เพราะมีแอพพลิเคชั่นจากฝั่ง Android ที่รองรับกับการใช้งานบน Android Wear มีอยู่มาก หากเป็นแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งในเครื่องของเราแล้วรองรับ แอพพลิเคชั่นเหล่านั้นก็จะมีการถามใน Moto 360 (2nd Gen) เพื่อให้เราติดตั้ง
การสั่งงานจะใช้การสัมผัสหน้าจอและการกดปุ่มเม็ดมะยมเป็นหลัก ซึ่งการใช้งานจะไม่ยุ่งยาก ถ้าหากจะดูการแจ้งเตือนก็ให้ปัดจากทางด้านล่างของหน้าขอขึ้นมา เมื่อต้องการดูรายละเอียดให้ปัดไปทางซ้าย หากต้องการปิดหรือลบแจ้งเตือนทิ้ง ให้ปัดไปทางขวา
นาฬิกา Android Wear นั้นจะสามารถเลือกเปลี่ยนหน้าปัด หรือที่เรียกกันว่า Watch Face ได้หลากหลาย จะเลือกเปลี่ยนภายในแอพพลิเคชั่น หรือจะเปลี่ยนจากตัวนาฬิกาก็ได้ หากยังไม่พอใจ สามารถไปดาวน์โหลด Watch Face เพิ่มเติมได้อีก โดย Watch Face แต่ละแบบก็จะมีการแสดงข้อมูลที่แตกต่างกัน บางแบบก็จะแสดงข้อมูลวันที่และเวลา บางแบบก็จะแสดงข้อมูลก้าวเดิน, สภาพอากาศ ฯลฯ
การทำงานของสมาร์ทวอช Android Wear โดยหลักจะเป็นการแจ้งเตือนเสียส่วนใหญ่ และมีการใช้คำสั่งเสียงกับ Google Now ไม่ว่าจะเป็นการตั้งปลุก, เพิ่มนัดหมาย, เตือนความจำ และค้นหาข้อมูลต่างๆ โดยการแสดงผลจะเลือกให้มาแสดงที่หน้าจอสมาร์ทโฟนได้
Moto 360 (2nd Gen) นั้นจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ Moto Body สำหรับการรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย โดยจะมีการนับก้าวเดิน, แคลอรี่ที่เผาผลาญ, วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และมีการวิเคราะห์ให้เมื่อมีการใช้งานครบ 14 วัน ซึ่งหากใช้งานคู่กับ iPhone อาจจะไม่ได้ใช้ Moto Body มากนัก แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ Android จะให้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น Moto Body แยกออกมาเลย สำหรับการดูข้อมูลต่างๆ
ในส่วนของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Moto 360 รุ่นแรกเลยก็ว่าได้ มาในรุ่น 2 นี้ ถือว่ามีการปรับปรุงให้ดีขึ้น สามารถใช้งานได้ 1-2 วัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราด้วย
บทสรุป
Moto 360 (2nd Gen) ถือว่าทำการบ้านมาดีขึ้น ถือเป็น Android Wear ที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์หน้าปัดกลมสุดคลาสสิค ที่ออกแบบมาดูเรียบง่ายแต่หรูหรา สามารถถอดเปลี่ยนสายได้ตามใจชอบ แบตเตอรี่ที่อึดขึ้น พร้อม Moto Body ที่เอาไว้ช่วยเก็บข้อมูลการออกกำลังกายและสุขภาพของเรา ใครที่ใช้สมาร์ทโฟน Android อยู่แล้ว ใช้คุ้มแน่นอน ส่วนใครที่ใช้ iPhone อาจจะต้องเลือกระหว่าง Apple Watch กับรุ่นนี้ดู แต่ถ้าชอบดีไซน์ ก็คงอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การแจ้งเตือนและการใช้งานพื้นฐานก็ถือว่าตอบโจทย์สำหรับการใช้สมาร์ทวอชแล้ว
Specifications
- ขนาดสำหรับผู้ชาย: 42mm case – ต้องใช้สาย 20mm, 46mm case – ต้องใช้สาย 22mm
- ขนาดสำหรับผู้หญิง 42mm case – ต้องใช้สาย 16mm
- รองรับการทำงานกับสมาร์ทโฟน Android และ iPhone
- หน้าจอ: Backlit LCD กระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 3
ขนาด 42mm 1.37” (35mm), 263ppi (360 X 325 พิกเซล) - ขนาด 46mm: 1.56” (40mm), 233ppi (360 X 330 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล: Qualcomm® Snapdragon 400 1.2 GHz Quad-core CPU (APQ 8026) Adreno 305 with 450MHz GPU
- หน่วยความจำ: 4 GB internal storage + 51 2MB RAM
- เซ็นเซอร์: Accelerometer, Ambient Light Sensor, Gyroscope, Vibration/Haptics engine
- กันน้ำ: มาตรฐาน IP67
- การเชื่อมต่อ: Bluetooth® 4.0 Low Energy, Wi-Fi 802.11 b/g
- แบตเตอรี่: ขนาด 46mm 400mAh, ขนาด 42mm 300 mAh รองรับการชาร์จไร้สาย Wireless charging ผ่าน Charging dock
- ไมโครโฟน 2 ตัว