Nothing แบรนด์มือถือที่ก่อตั้งโดย Carl Pei อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus เปิดตัวมือถือรุ่นแรกแล้วในชื่อ Nothing Phone (1) โดยมือถือรุ่นนี้ไม่ได้แรงสุดขีดอย่างที่ยี่ห้ออื่นพยายามจะแข่งกัน แต่จุดขายอยู่ที่ความน่าตื่นเต้นในการใช้มือถือที่เราเคยรู้สึกในอดีต
ก่อนอื่นขอพูดถึงสเปคของ Nothing Phone (1) ก่อนครับ
- หน้าจอ: 6.5 นิ้ว (OLED 120Hz)
- หน่วยประมวลผล: Snapdragon 778G+
- แรม: 8 / 12GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล: 128 / 256GB
- กล้องหลัง: 50 (Main) + 50 (UltraWide) Megapixel
- กล้องหน้า: 16 Megapixel
- แบตเตอรี: 4,500 mAh
- ระบบปฏิบัติการ: Nothing OS (1) (Android 12)
Nothing Phone (1) จับทุกกระแสที่เรียกความสนใจได้มาใช้กับมือถือรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฟรมรอบตัวเครื่องใช้อลูมิเนียมรีไซเคิลมาทำ และหน้าจอที่เป็นหน้าจอ OLED ที่ทำรีเฟรชเรทได้ 120Hz (แต่ใช้กระจกหน้าจอเป็น Gorilla Glass 5) ส่วนกล้องหลังนั้นแม้จะมีความละเอียด 50 Megapixel เท่ากัน แต่กล้องหลักโฆษณาว่าเป็น SONY IMX766 ส่วนกล้องอัลตราไวด์นั้นเป็น Samsung JN1 เรียกได้ว่าอะไรนำมาเป็นจุดขายได้ Nothing ใส่มาหมด ส่วนกล้องหน้านั้นอยู่ด้านซ้ายบนของหน้าจอครับ ไม่ได้ใช้หน้าจอประเภทซ่อนกล้องไว้ข้างใต้ได้
สิ่งที่ซ่อนเอาไว้ข้างใต้หน้าจอจริงๆ ก็คือตัวอ่านลายนิ้วมือ แต่ในข่าวทาง Nothing ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าใช้ระบบอะไร ทำให้คาดว่าน่าจะเป็นเพียงตัวอ่านลายนิ้วมือแบบ Optical เท่านั้น ระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า Nothing OS (1) นั้นจริงๆ แล้วคือ Android 12 ที่ปรับแต่งเล็กน้อย (แนวทางเดียวกับ OnePlus ในอดีต) เน้นความสเถียรในการใช้งานมากกว่าฟีเจอร์ที่เยอะจนล้น ทาง Nothing สัญญาว่าจะออกอัพเดทให้สามรุ่น (แปลว่าจะอัพเดทให้ถึง Android 15) และแพทช์อัพเดทจะออกให้ทุกสองเดือนเป็นเวลาสี่ปีนับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่าย
ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใน Nothing OS (1) ก็คือการควบคุมหูฟัง Nothing Ear (1) นั่นเองครับ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สินค้าจากบริษัทใดๆ จะพยายามเพิ่มฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเดียวกันเข้ามา นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มการทำงานร่วมกับ Tesla สามารถเปิดไฟหน้ารถ หรือเปิดแอร์ก่อนเดินขึ้นรถได้ ถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายทีเดียวที่แบรนด์เกิดใหม่อย่าง Nothing จะจับมือกับ Tesla แบบนี้ ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือเราสามารถใช้ Homescreen เพื่อจัดแสดงภาพ NFT ที่เราเป็นเจ้าของได้ครับ
ตัวเครื่องมีแบตเตอรี 4,500 mAh ชาร์จแบบใช้สายได้ 33W (เป็น USB-PD) ใช้เวลาชาร์จจนเต็มอยู่ที่ 70 นาที ส่วนการชาร์จไฟไร้สายจะทำได้ที่ 15W (ชาร์จจนเต็มใช้เวลา 120 นาที) ถ้าหากนำไปชาร์จให้อุปกรณ์อื่น เช่นหูฟังไร้สายจะจ่ายไฟได้ 5W ตัวเครื่องผ่านมาตรฐาน IP53 แปลว่าทนน้ำกระเซ็นแต่ไม่สามารถนำไปแช่ในน้ำได้ครับ และตัวเครื่องไม่มีหัวชาร์จไฟมาให้ ถ้าอยากได้ต้องซื้อแยก โดยจะมีของ Nothing ที่จ่ายไฟได้ 45W ขายอยู่ที่ 35 ยูโรครับ
จุดเด่นของตัวเครื่องที่เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่ามันคือ Nothing Phone (1) ก็คือบอดี้ฝาหลังใส และมีไฟ LED ข้างใน โดยเราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ไฟติดแบบไหน แปลว่าอะไร (เช่นชาร์จไฟจะมีขึ้นบอกสถานะว่าใกล้เต็มหรือยัง หรือเมื่อชาร์จไฟให้หูฟังไร้สายอยู่จะมีไฟดวงอื่นติดขึ้นมา) นอกจากนี้ตัวไฟยังซิงค์กับริงโทนอีกด้วย แปลว่าถ้ามีคนโทรเข้าไฟจะกระพริบจังหวะเดียวกันกับเพลง
ราคาของ Nothing Phone (1) กำหนดจากแรมและพื้นที่เก็บข้อมูล โดยแยกรุ่นดังนี้ครับ
- RAM 8GB / พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB ราคา 469 ยูโร (ราวๆ 17,500 บาท)
- RAM 8GB / พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB ราคา 499 ยูโร (ราวๆ 18,500 บาท)
- RAM 12GB / พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB ราคา 549 ยูโร (ราวๆ 20,400 บาท)
สำหรับในสหราชอาณาจักรตัวเครื่องจะวางจำหน่ายผ่านตู้ขายอัตโนมัติที่ Covent Garden ในกรุงลอนดอน แล้วหลังจากนั้นจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่วนประเทศอื่นนั้นยังไม่มีข้อมุลว่าจะจำหน่ายผ่านใครบ้าง แต่ระบุเอาไว้แล้วว่าจะมีวางจำหน่ายในประเทศดังต่อไปนี้ครับ
- เดนมาร์ก
- ฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- เยอรมัน
- ฮ่องกง
- ฮังการี
- อินเดีย
- อิสราเอล
- อิตาลี
- มาเก๊า
- มาเลย์เซีย
- เนเธอร์แลนด์
- นอร์เวย์
- ฟิลิปินส์
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- โรมาเนีย
- ซาอุดิอาระเบีย
- สเปน
- สิงคโปร์
- สวีเดน
- สวิตเซอร์แลนด์
- ไต้หวัน
- ไทย
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ที่มา – GSMarena