Schneider Electric ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน เปิดเผยผลการดำเนินงานอันโดดเด่นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ในปี 2021 โดยความสำเร็จหลักมาจากความสามารถในการปรับตัวขององค์กรได้เป็นอย่างดีและสามารถจับทิศทางศักยภาพการเติบโตของตลาดที่แตกต่างกันได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการช่วยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกันต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน ผ่านเส้นทางในการก้าวสู่การปฏิรูปทางดิจิทัลที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความมุ่งมั่นด้านสภาพอากาศขององค์กรต่างๆ เพื่อให้บรรลุความยั่งยืน
สเตฟาน นูสส์ (Mr. Stephane NUSS) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่าปี 2021 นับเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในทั่วโลก ด้วยการบรรลุรายได้สูงสุดตลอดที่ผ่านมา อยู่ที่ 29,000 ล้านยูโร คิดเป็นการเติบโตสุทธิของผลกำไรอยู่ที่ +12.7 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้มาจากความก้าวหน้าอย่างแข็งแกร่งในแต่ละปี โดยในประเทศไทย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นธุรกิจในประเทศกลับสู่สถานะก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาด ด้วยรายได้สูงสุดเท่าที่เคยมีมาเช่นกัน
“จากที่โลกตกอยู่ในสภาวะความไม่แน่นอน และเกิดการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน การสร้างผลงานในประเทศไทยได้อย่างโดดเด่นในภาวะที่มีเงื่อนไขทางการตลาดเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเราในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงข้อเท็จจริงที่เรามีจุดยืนที่ดีในตลาดที่มีการเติบโตมาก ทั้งด้านการสร้างความยั่งยืนและการปรับตัวสู่ดิจิทัล” สเตฟาน กล่าว
ปี 2022 มุ่งสู่ความยั่งยืน
ในปีนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังคงเดินหน้าต่อไปในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ภายใต้เศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) โดยการเร่งให้องค์กรธุรกิจและองค์กรด้านอุตสาหกรรม ก้าวสู่การปรับกระบวนการสู่ระบบดิจิทัล ขจัดก๊าซคาร์บอน และปฏิรูปทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างผลงานในตลาดประเทศไทยได้อย่างโดดเด่น คือสิ่งสำคัญอันดับต้นสำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปี 2022
“ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเชื่อว่าระบบไฟฟ้าคือพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด และเมื่อระบบไฟฟ้ามาบรรจบกับระบบดิจิทัล ก็จะเป็น ระบบไฟฟ้า 4.0 ที่จะนำเสนอแนวทางใหม่ในการกระจายพลังงาน มองเห็นสถิติการใช้พลังงาน และนำไปสู่การประหยัดพลังงานในที่สุด ซึ่งอนาคตคือ ระบบไฟฟ้าสู่ “ความเป็นศูนย์” การสูญเสียพลังงานเป็นศูนย์ การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ เรากำลังสร้างโลกพลังงานใหม่ ด้วยการนำเสนอการใช้พลังงานด้วยระบบอัจฉริยะให้แก่ ที่พักอาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม ระบบโครงสร้าง และกริด” สเตฟาน นูสส์ กล่าว
สเตฟาน ยังได้กล่าวเสริม โดยคาดว่าจะมีการใช้ระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในการใช้พลังงานแบบผสมผสานภายใน 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น โลกจะกลายเป็นระบบไฟฟ้ามากขึ้น เมื่อใช้ระบบไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อขจัดคาร์บอน ควบคู่ไปกับการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพ ก็จะช่วยนำพาธุรกิจและองค์กรต่างๆ ในทุกภาคส่วนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
สอดคล้องตามผลการศึกษาจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ GreenBiz Research ที่ว่า หลายองค์กรที่มีการบริหารจัดการเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง องค์กรเหล่านี้จะได้รับผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่สูงกว่าองค์กรที่ไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ถึง 67 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย นอกจากนี้ การวิจัยล่าสุดจากสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum ยังเผยให้เห็นว่า บริษัทที่มุ่งเน้นกลยุทธ์ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม จะมีอัตราการเติบโตประจำปีอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์
ในบทบาทของการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืนให้กับลูกค้า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เชื่อมต่อ ซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์ และบริการ เพื่อช่วยขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการดำเนินการให้กับลูกค้าในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคสาธารณูปโภค อาคาร อุตสาหกรรม และดาต้าเซ็นเตอร์ อีกทั้งช่วยปรับปรุงการใช้สินทรัพย์ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของพันธมิตร ตัวแทนจำหน่าย และอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ในแง่ของอาคารอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งโครงการ 5G เช่นกัน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอแนวทาง 3 ขั้นตอนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ ด้านความยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ ไปจนถึงการดำเนินการ เพื่อมอบผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศตามความมุ่งมั่นขององค์กรเหล่านั้น ซึ่งแนวทาง 3 ขั้นตอน มีดังต่อไปนี้
- การวางกลยุทธ์ เพื่อกำหนดสถานภาพปัจจุบัน จากจุดที่ลูกค้าเริ่มต้นโครงการ รวมถึงการประเมินเพื่อกำหนดหาฐานอ้างอิง พร้อมกับการพัฒนา roadmap ในการขจัดคาร์บอนทั้งหมดที่ต้องดำเนินการ
- การปรับสู่กระบวนการดิจิทัล เพื่อตรวจสอบทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้ และการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้อง จากนั้นระบุหาโอกาสในการลดคาร์บอน โดยใช้แพลตฟอร์มและการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ให้ประสิทธิภาพได้อย่างโดดเด่น
- การดำเนินการตามแผนงาน เพื่อดำเนินการตามแผนทั้งหมดและนำไปสู่การขจัดคาร์บอนในที่สุด ด้วยการเปลี่ยนกระบวนการทำงานเป็นระบบไฟฟ้า ลดการใช้พลังงาน โดยใช้โซลูชัน ผลิตภัณฑ์ที่มีการเชื่อมต่อทั้งหมดของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
มอบประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์ที่ไร้รอยต่อ
สเตฟาน นูสส์ ยังกล่าวต่อว่า ในปีนี้ ซอฟต์แวร์ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักในการมอบประสิทธิภาพให้กับลูกค้า ด้วยความร่วมมือกันของผลิตภัณฑ์ด้านซอฟต์แวร์ระบบเปิดจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และบริษัทซอฟต์แวร์อิสระชั้นนำของโลก จะช่วยปรับกระบวนการทำงานด้านพลังงานและระบบอัตโนมัติเป็นดิจิทัล โดยมอบศักยภาพในการใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างราบรื่น ตลอดทั่วทั้งวงจรการทำงาน ตั้งแต่การออกแบบ การสร้างไปจนถึงการดำเนินการและการดูแลรักษา
โซลูชันซอฟต์แวร์นี้จะช่วยให้การทำงานสมบูรณ์สอดรับกับความต้องการใช้งานของลูกค้าที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยขจัดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการทั้งใน ดาต้าเซ็นเตอร์ อาคาร อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมุ่งเน้นช่วยลูกค้าในการกำหนดและเลือกข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อสร้างแนวทางสู่การปฏิรูปและปรับเปลี่ยนกระบวนการเป็นระบบดิจิทัล ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากระบบอัตโนมัติให้ได้มากที่สุด กระบวนการนี้ต้องร่วมมือกันจากซัพพลายเชนทั้งระบบ จากแหล่งผลิตต้นทางไปยังฟาร์ม จนถึงโรงงานและต่อไปยังผู้ค้าปลีก จนถึงผู้บริโภค เพื่อส่งมอบคำมั่นสัญญาเรื่องความโปร่งใสของที่มาให้กับผู้บริโภคปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ในหลายปีที่ผ่านมา เราได้ซื้อกิจการจากผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์หลายรายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในด้านซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมอย่าง Aveva และ ETAP สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลัก และซอฟต์แวร์ RIB สำหรับอาคาร เป็นต้น พันธกิจของเราคือการทำให้ซอฟต์แวร์ทั้งหมดผสานรวมการทำงาน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบวงจรในแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ให้กับลูกค้าในตลาด และแน่นอนซอฟต์แวร์ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อกับโซลูชัน IoT และผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อของเรา เพื่อให้ประสิทธิภาพแก่ผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น” สเตฟาน นูสส์ กล่าว
ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการประกาศความมุ่งมั่นด้วยคำปฏิญาณด้านคาร์บอน เพื่อเร่งเปลี่ยนสู่ Net Zero Carbon หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ให้ได้ภายในปี 2030 โดยบริษัทฯ จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้ได้ภายในปี 2025 เพื่อมุ่งมั่นสู่การสร้างความเป็นกลางด้านคาร์บอน สำหรับการดำเนินการในทางสังคม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มุ่งมั่นในการสร้างศักยภาพให้กับคนทำงานในทุกรุ่นและทุกภูมิภาค อีกทั้งสร้างความมั่นใจว่าบริษัทฯ ได้มอบโอกาสที่ทัดเทียมให้กับทุกคน
“สำหรับพวกเราที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการทำธุรกิจ แต่เป็นส่วนหนึ่งใน DNA ของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งที่เราทำ” สเตฟาน นูสส์ กล่าวสรุป
เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค
เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On
ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน
เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม
เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน