เป็นรุ่นต่อยอดจาก iPad Air รุ่นก่อน ซึ่งหน้าตานั้นไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไรนัก แต่สำหรับรุ่นนี้จะบางกว่ารุ่นก่อนและน้ำหนักที่เบาขึ้น พร้อมกันนี้ยังเพิ่มทัชไอดีเข้ามาให้ใช้งานในรุ่นนี้ และเพิ่มสีทองให้เลือกจับจองกันเป็นเจ้าของ สำหรับวัสดุหลักยังคงใช้โลหะที่ให้ความหรูหราเช่นเคย
สัดส่วนภายนอก Apple iPad Air 2 (Wi‑Fi + Cellular)
ด้านหน้า: ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว จอภาพเรติน่าพร้อมเทคโนโลยีไอพีเอส เหนือหน้าจอแสดงผลมีกล้องหน้าสำหรับถ่ายรูปหรือเฟซไทม์ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รวมไปถึงเซ็นเซอร์ต่างๆ และใต้หน้าจอแสดงผลเพิ่ม ทัชไอดี สามารถปลดล็อคหน้าจอหรือซื้อแอพฯ ด้วยการสแกนลายนิ้วมือได้
ด้านซ้าย: ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใดๆ ในด้านนี้ เป็นเพียงขอบโล่งๆ โชว์ความสวยงามของตัวเครื่อง
ด้านขวา: สำหรับรุ่นนี้ แอปเปิ้ลได้ตัดปุ่ม ไซเลนท์ สำหรับออก (ซึ่งปุ่มนี้สามารถปรับล็อค/ปลดล็อค การหมุนของหน้าจอได้) ซึ่งแทนที่ด้วยไมโครโฟน ถัดลงมามีปุ่มปรับระดับเสียงสนทนา และช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม
ด้านบน: มีช่องต่อชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร วางอยู่มุมว้าย และปลุ่มล็อค/ปลดล็อคตัวเครื่องวางอยู่มุมขวา แถบพลาสติกเป็นแนวยาวซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศเพื่อใช้งานเครือข่าย 3จี
ด้านล่าง: พอร์ตไลท์นิ่งสำหรับเสียบสายชาร์จหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ อยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงสเตอริโอ
ด้านหลัง: พลิกมาดูด้านหลังจะพบกับกล้อง iSight แบบใหม่ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถัดไปด้านข้างจะเป็นไมโครโฟนสำหรับบันทึกวิดีโอ ตรงกลางเครื่องยังมีโลโก้ของแอปเปิ้ลเช่นเคย
ภาพรวม: Apple iPad Air 2 ภายนอกยังคงไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่ได้ความบางและเบามากขึ้น แต่ยังคงความหรูหราด้วยวัสดุหลักจากโลหะ รวมถึงความสะดวกในการปลดล็อคใช้งานด้วยการสแกนลายนิ้วมือด้วย อีกทั้งยังเพิ่มสีทองที่หลายๆ ท่านชื่นชอบเข้ามาให้เลือกใช้งานด้วย
ชำแหละเครื่องใน
หากใครที่คาดหวังว่าสเปคภายในของ Apple iPad Air 2 จะแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ ก็คงต้องผิดหวังกันไป เพราะ Apple ไม่ได้เพิ่มเติมสเปคให้แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแค่เปลี่ยนชิปประมวลผลมาเป็น Apple A8x แบบ 64 บิทรุ่นใหม่ พร้อมหน่วยประมวลผลร่วม M8 สำหรับประมวลผลความเคลื่อนไหว แรม 2 กิกะไบต์ บวกกับระบบปฏิบัติการไอโอเอส 8 ที่ทำให้คุณใช้งานได้อย่างลื่นไหลและเล่นเกมได้เนียนตาขึ้น พร้อมกันนี้ทาง Apple ยังเคลมว่าไอแพดรุ่นนี้ยังคงประหยัดแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง
Apple ได้มีการเปลี่ยน Apple iPad Air 2 มาใช้กล้องดิจิตอล iSight ตัวใหม่ที่เพิ่มความละเอียดมาเป็น 8 ล้านพิกเซล ทำให้ได้ภาพความละเอียด 3264 x 2448 พิกเซล และบันทึกวิดีโอระดับฟูลเอชดี 1080พี ได้ พร้อมกับลูกเล่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไทม์แลปส์, วิดีโอสโลว์โมชั่นที่ 120 เฟรมต่อวินาที, พาโนรามาความละเอียดสูง, ถ่ายภาพต่อเนื่อง, เฮชดีอาร์ และควบคุมค่าแสงในการถ่ายภาพ แต่ไม่มีไฟแฟลชแอลดีดีมาให้ แต่ก็ถือว่าเกินพอกับการใช้งานแท็บเล็ตแบบทั่วไปอย่างแน่นอน ในส่วนของกล้องหน้าก็ให้ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลมาสำหรับถ่ายเซลฟี่หรือใช้งานเฟซไทม์
ในส่วนของความบันเทิง Apple ก็จัดเต็มมาให้ด้วยลำโพงสเตอริโอที่เสียงดังฟังชัดและมีมิติ โดยจะใช้แอพฯ Music ในการฟังเพลงโดยมีการแบ่งหมวดหมู่มาให้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเพลย์ลิสต์, ศิลปิน, อัลบั้ม และเพลงทั้งหมด และดูวิดีโอผ่านแอพฯ Videos ซึ่งทั้งเพลงและวิดีโอจะต้องทำการซิงค์ข้อมูลกับโปรแกรมไอจูนส์บนคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดฟังบน Apple iPad Air 2 ได้ นอกจากนี้ยังให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดแอพฯจัดการเอกสารอย่าง Pages, Keynote และ Numbers แอพฯ ตัดต่อวิดีโอและเสียง iMovies, GarageBand ไปใช้งานแบบฟรีๆ หรือจะดาวน์โหลดแอพอย่างยูทูปมาดูคลิปวิดีโอต่างๆ แบบออนไลน์ก็ได้
Apple iPad Air 2 รุ่น Wi-Fi + Cellular รองรับการเชื่อมต่อแบบ 3จี และ 4จี ใช้งานกับทุกเครือข่ายในประเทศไทย และในไอโอส 8 นี้ยังใช้งานร่วมกับ OS X Yosemite บนคอมพิวเตอร์แมคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการรับสายโทรศัพท์, พิมพ์ส่งข้อความ, แก้ไขงานเอกสาร สามารถทำจากคอมพิวเตอร์ได้ทันที หรือโอนถ่ายข้อมูลกับอุปกรณ์ไอโอเอสเหมือนกันก็สามารถใช้ AirDrop ได้ และใช้ AirPlay แชร์หน้าจอไปยัง Apple TV ได้แบบสบายๆ โดยไม่ต้องล็อกอินเข้าสู่เครือข่าย
กูรูฟันธง
เนื่องจาก Apple iPad Air 2 ยังคงไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างจาก Apple iPad Air มากนัก ซึ่งใครที่ใช้รุ่นนี้อยู่ ถ้าไม่ได้ต้องการใช้ของใหม่ก็ยังไม่มีความจำเป็นที่จะเปลี่ยน แต่ถ้าใครที่กำลังหาซื้อ iPad อยู่ บอกได้คำว่าเดียวว่าจัดเลย เพราะจะได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างทัชไอดี, ลูกเล่นของกล้องต่างๆ ที่ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอได้ดีขึ้น รวมไปถึงสเปคภายในที่ดีกว่า แถมยังเบาและบางกว่ารุ่นก่อน และรุ่นนี้มีการเปลี่ยนรุ่นหน่วยความจำโดยเริ่มต้นจาก 16 กิกะไบท์, 64 กิกะไบท์ และ 128 กิกะไบท์ สำหรับหน่วยความจำที่แนะนำก็คือ 64 กิกะไบท์ น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับยุคนี้ที่มีแอพฯ และข้อมูลเนื้อหาต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนใครที่คิดว่าใช้งานเยอะอย่างแน่นอน เน้นดูหนังจาก iPad รุ่น 128 กิกะไบท์เป็นตัวเลือกของคุณแน่นอน
ข้อดี
1. มีน้ำหนักเบาและบางกว่าเดิม
2. วัสดุโลหะ มีสีทองให้เลือกเพื่อความหรูหรามากขึ้น
3. สะดวกปลดล็อคเข้าใช้งานด้วยการสแกนลายนิ้วมือ
4. กล้อง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมลูกเล่นหลากหลาย
5. ลำโพงสเตอริโอ ดังสะใจ
6. หน้าจอเคลือบสารกันสะท้อนใช้งานกลางแจ้งได้ดีกว่าเดิม
7. แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้ยาวนาน
8. รองรับการเชื่อมต่อ 3จี และ 4 จี
ข้อเสีย
1. น่าจะติดไฟแฟลชมาให้ด้วย
2. ตัวเครื่องบาง แต่ก็เสี่ยงตัวเครื่องงอได้ง่าย