พรีวิว Nothing Phone (3) สมาร์ตโฟนเรือธงสัญชาติอังกฤษ กับโฉมใหม่ที่มาพร้อม Glyph Matrix ที่จะทำให้การใช้งานสนุกกว่าที่เคย มาพร้อมหน้าจอ Flexible AMOLED ใหญ่จุใจ 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K คมชัดในทุกมิติ ผสานพลังความอัจฉริยะของชิปเซ็ต Snapdragon 8s Gen 4 ® ที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android 15 และ Nothing OS 3.5 มาพร้อมดีไซน์โปร่งใสที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Nothing พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัว Headphone (1) หูฟังแบบครอบหูรุ่นแรกจาก Nothing ประสบการณ์เสียงที่พัฒนาร่วมกับ KEF ผู้นำนวัตกรรมด้านเสียงระดับตำนานสัญชาติอังกฤษ
Phone (3)
Phone (3) สมาร์ตโฟนเรือธงที่แท้จริงจาก Nothing ที่มาพร้อมนิยามใหม่เพื่อพลิกโฉมการใช้เทคโนโลยี ที่ทั้งสนุก แสดงออกถึงตัวตน และสะท้อนถึงเอกลักษณ์ในแบบฉบับเฉพาะของ Nothing มาพร้อมกับการพัฒนาดีไซน์ที่เป็นซิกเนเจอร์ด้วย Glyph Matrix โฉมใหม่, ดีไซน์รูปเรขาคณิตที่โดดเด่น, วัสดุระดับพรีเมียมและการยกระดับประสิทธิภาพการใช้งานที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม
สมาร์ตโฟนเรือธงตัวจริง ในแบบฉบับของ Nothing
Phone (3) มาพร้อมกับกล้องระดับมืออาชีพที่ออกแบบมาเพื่อให้เหล่าครีเอเตอร์เก็บครบทุกโมเมนต์ สร้างคอนเทนต์ได้ทุกที่ทุกเวลา เก็บภาพมุมใกล้ โดยไม่สูญเสียรายละเอียดด้วย Optical Zoom ถ่ายภาพคมชัดแม้ในที่แสงน้อยด้วยเซนเซอร์หลักประสิทธิภาพเหนือกว่าที่มีขนาด 1/1.3 นิ้ว บันทึกวิดีโอความละเอียด 4K 60fps ได้คมชัดและเสถียรจากทุกเลนส์ ด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical เต็มรูปแบบ มาพร้อม
พรีเซ็ต (Presets) ที่พัฒนาร่วมกับช่างภาพมือโปรให้คุณสร้างสรรค์วิดีโอสไตล์ภาพยนตร์อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเรียนรู้ขั้นตอนที่ซับซ้อน
Phone (3) มาพร้อมกับ Glyph Matrix หน้าจอแสดงผลแบบ micro-LED ที่ด้านหลังตัวเครื่องนี้จะแสดงเฉพาะสิ่งสำคัญในเวลาที่เหมาะสม ช่วยลดการใช้เวลาบนหน้าจอลง โฟกัสกับสิ่งสำคัญมากขึ้น อีกหนึ่งไฮไลต์คือฟีเจอร์ Flip to Record เพียงคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง ก็สามารถเริ่มถอดเสียงและสรุปบทสนทนาอัตโนมัติ ผ่าน Essential Space โดยไม่ต้องแตะหน้าจอ
Phone (3) ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon® 8s Gen 4 รุ่นล่าสุด ทำให้ AI ทำงานเร็วขึ้น และเล่นเกมได้ลื่นไหลมากขึ้น โดยมีแบตเตอรี่แบบซิลิคอน–คาร์บอนขนาด 5150mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานเกินหนึ่งวันเต็ม รองรับระบบ Fast Charge ทั้งแบบมีสาย 65W และไร้สาย 15W มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ใหญ่จุใจขนาด 6.67 นิ้ว, วัสดุระดับพรีเมียม และมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68
ดีไซน์ที่ผสานรูปทรงเรขาคณิตเข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Phone (3) ผสานรูปทรงเรขาคณิตอันโดดเด่นเข้ากับดีไซน์โมดูลาร์ด้วยแรงบันดาลจากสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เลย์เอาต์แบบสามคอลัมน์นี้ช่วยเสริมจังหวะและความสมดุลได้อย่างลงตัว ตัวเครื่องยังได้รับการปรับรูปทรงให้เป็นทรง R-angle เพื่อให้จับถนัดมือมากขึ้น ขณะที่ด้านหน้ามาพร้อมขอบจอบางเฉียบเพียง 1.87 มิลลิเมตรที่เท่ากันทุกด้าน ซึ่งบางลง 18% เมื่อเทียบกับ Phone (2) ล้อมรอบหน้าจอ AMOLED ที่คมชัดและมอบประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้น
Glyph Matrix แสงที่ออกแบบมาเพื่อสื่อสาร
ไฮไลต์ของ Phone (3) คือ Glyph Matrix โฉมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อลดเวลาการใช้หน้าจอและทำให้การรับข้อมูลสำคัญกลายเป็นเรื่องง่ายดายไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันหรือเมื่อมีคนติดต่อเข้ามาไปจนถึงการอัปเดตสถานะการทำงานต่างๆ แบบเรียลไทม์ช่วยให้คุณรับรู้ข้อมูลทุกอย่างได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเลื่อนดูหน้าจอ
Glyph Matrix ยังมาพร้อมกับ Glyph Toys ฟีเจอร์สนุก ๆ ที่รวบรวม Quick Tools และมินิเกมเอาไว้ด้านหลังตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Glyph Mirror, นาฬิกาดิจิทัล, นาฬิกาจับเวลา, สถานะแบตเตอรี่ และนาฬิกาที่แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์ (Solar Clock) รวมถึงมินิเกมต่าง ๆ อย่าง Spin the Bottle ทั้งหมดนี้สามารถเข้าถึงและควบคุมได้ด้วยการกดเพียงปุ่มเดียวที่ด้านหลังตัวเครื่อง นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถกำหนดไอคอนที่ปรับแต่งเฉพาะให้กับผู้ติดต่อแต่ละคน ซึ่งจะโชว์ขึ้นมาเป็น Avatar ในรูปแบบ Pixel เมื่อได้รับข้อความ
Nothing OS 3.5 ออกแบบมาเพื่อการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญ ขับเคลื่อนด้วย AI
Nothing OS ออกแบบมาเพื่อเน้นประโยชน์การใช้งาน และลดสิ่งรบกวน ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการนำทางได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นธีมโมโนโครมที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสายตา หรือลบชื่อแอปพลิเคชันออกเพื่อให้ดูสะอาดตายิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมี Widget ใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับหน้าจอล็อกและหน้าจอหลัก ในขณะที่วงการเทคโนโลยีกำลังเร่งนำ AI มาใช้กับระบบที่มีอยู่เดิม Nothing ออกแบบระบบที่ฝังเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้าไปตั้งแต่แรก เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เรียบง่ายขึ้น ฉลาดขึ้น และทำให้การใช้งานเป็นธรรชาติมากยิ่งขึ้น
หน้าจอสว่างขึ้น เร็วขึ้น สมจริงยิ่งขึ้น
Phone (3) มาพร้อมหน้าจอที่สว่างและคมชัดที่สุดของ Nothing กับหน้าจอ AMOLED แบบยืดหยุ่น ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ 1.5K รองรับการใช้งานได้ทุกสภาพแสง ด้วยความสว่างสูงสุดถึง 4,500 นิต (HDR) และ 1,600 นิต (HMB) มาพร้อมกับ Ultra HDR เพื่อแสดงคอนเทนต์ได้สมจริง ด้วยไฮไลต์สีสันที่เด่นชัด และดำสนิทอย่างแท้จริง นอกจากนี้ อัตรารีเฟรชแบบปรับได้ที่ 30-120Hz และค่า touch sampling 1000Hz ทำให้ทุกการตอบสนองลื่นไหลอย่างฉับไว ขณะที่การหรี่แสงด้วย PWM ที่ 2160Hz ช่วยถนอมสายตาไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ส่วนดีไซน์ขอบจอที่บางเท่ากันทั้ง 4 ด้าน ช่วยเพิ่มสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 92.89% เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานแบบให้มุมมองกว้างเต็มตาอย่างแท้จริง
ประสิทธิภาพที่สร้างมาเพื่อความรวดเร็วและความคิดสร้างสรรค์
ชิปเซ็ต Snapdragon 8s Gen 4 ® Mobile Platform ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงระดับ 4 นาโนเมตร พร้อมสถาปัตยกรรม CPU Qualcomm® Kryo™ และ GPU Qualcomm® Adreno™ การประมวลผลภาพ และการแสดงผลกราฟิก พลังการประมวลผล CPU เพิ่มขึ้น 36%, การอัปเกรด GPU เร็วขึ้นถึง 88%, ประสิทธิภาพการประมวลผลงานที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้น 60% และความสามารถในการจดจำภาพที่รวดเร็วขึ้น 125% เมื่อเทียบกับ Phone (2) ตั้งแต่การทำงานแบบ Multitasking ที่ลื่นไหล
แบตเตอรี่และการชาร์จ พร้อมใช้งานได้ตลอดทั้งวัน
Phone (3) มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุสูงที่สุดของ Nothing ในตอนนี้ ด้วยเซลล์ซิลิคอน–คาร์บอนความหนาแน่นสูงขนาด 5150mAh ที่สามารถใช้งานได้นานเกิน 1 วันอย่างสบาย ๆ รองรับการชาร์จแบบมีสายที่รวดเร็ว 65W ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มภายใน 54 นาที และการชาร์จแบบไร้สาย 15W ที่ช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างง่ายดาย
Phone (3) มีให้เลือก 2 สีสุดคลาสสิกทั้ง Black และ White ความจุ 12 GB + 256 GB ในราคา 27,999บาท และ ความจุ 16 GB + 512 GB ในราคา 30,999 บาท
Headphone (1)
‘Headphone (1)’ หูฟังแบบครอบหูรุ่นแรกจาก Nothing ที่ออกแบบและปรับแต่งเสียงร่วมกับ KEF ผู้นำนวัตกรรมด้านเสียงระดับตำนานสัญชาติอังกฤษ มาพร้อมระบบควบคุมที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและตอบสนองได้อย่างแม่นยำ สะท้อนแนวคิด ‘เปิดกว้าง’ และ ‘โปร่งใส’
ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมไม่แพ้คุณภาพเสียง
Headphone (1) โดดเด่นด้วยดีไซน์โปร่งใสมองเห็นโครงสร้างภายใน และวัสดุระดับพรีเมียม เช่น อะลูมิเนียมขึ้นรูป ชิ้นส่วนที่ผลิตด้วย CNC (Computer Numerical Control) ที่มีความแม่นยำสูง และวัสดุเมมโมรี่โฟมเคลือบ PU ที่ทั้งสวยงามและสวมใส่สบาย ตัวครอบหูน้ำหนักเบาทำจากอะลูมิเนียมและพลาสติกคุณภาพสูงเพื่อความแข็งแรงทนทาน ส่วนก้านหูฟังสามารถปรับระดับยืดหดได้อย่างลื่นไหล นอกจากนี้ แผ่นรองหูเคลือบสารกันน้ำมันยังช่วยลดแรงกดทับบริเวณใบหู โอบรับทุกสรีระของศีรษะได้กระชับพอดี สวมใส่สบายตลอดวัน
Headphone (1) ฉีกแนวการใช้ระบบควบคุมแบบสัมผัส ด้วยการเลือกใช้ระบบควบคุมแบบสัมผัสจริง (Tactile controls) ผ่านปุ่มที่อยู่บนตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Roller, Paddle หรือ Button ผู้ใช้สามารถปรับระดับเสียง จัดการการเล่นเพลง หรือสลับโหมดตัดเสียงรบกวน (ANC) ลดความยุ่งยากหรือข้อผิดพลาดที่มักพบกับระบบจอสัมผัสทั่วไป การผสานระบบควบคุมเหล่านี้เข้ากับตัวหูฟังโดยตรง ช่วยยกระดับการใช้งานให้ตอบสนองรวดเร็ว ใช้งานง่าย
Headphone (1) สามารถเปลี่ยนเสียงสเตอริโอให้กลายเป็นประสบการณ์เสียงรอบทิศทาง 360 องศา ด้วยการสร้างเสียงเชิงพื้นที่ (Spatialisation) บนตัวเครื่อง และฟีเจอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของศีรษะ ปรับเสียงตามทุกท่วงท่าของการเคลื่อนไหวได้แบบเรียลไทม์ ทั้งยังรองรับ Hi-Res Audio, LDAC (Lossless Digital Audio Codec) เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายคุณภาพสูง และยังมาพร้อมทางเลือกการเชื่อมต่อแบบมีสายผ่านพอร์ต USB-C แบบ Lossless และพอร์ต 3.5 มิลลิเมตร เสริมด้วยระบบควบคุมแรงสั่นสะเทือน (Damping) และโครงสร้าง Driver แบบ High-Linearity Suspension ที่ลดแรงสั่นและความเพี้ยนของเสียงลง
ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ขั้นสูง พร้อมคุณภาพเสียงสนทนาคมชัด
โหมด ANC มาพร้อมกับไมโครโฟนคู่แบบ Feedforward และ Feedback ช่วยปรับระดับการตัดเสียงรบกวนภายนอกได้แบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกัน โหมด Transparency ช่วยให้ได้ยินเสียงรอบข้าง ด้วยความแข็งแกร่งของไมโครโฟน ENC (Environmental Noise Cancellation) 4 ตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งผ่านการฝึกฝนจากสถานการณ์เสียงรบกวนมาแล้วกว่า 28 ล้านรูปแบบทำให้มั่นใจได้ว่าเสียงพูดในการโทรจะคมชัดแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนมาก
อึด ทน พร้อมใช้งานตลอดวัน
Headphone (1) สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 35 ชั่วโมง แม้จะเปิดโหมด ANC และการชาร์จเร่งด่วนเพียง 5 นาที ก็สามารถใช้งานต่อได้นานถึง 2.4 ชั่วโมง ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 พร้อมฟีเจอร์เชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์ได้ในเวลาเดียวกัน รองรับระบบ Fast Pair และการส่งสัญญาณเสียงที่มีค่าความหน่วงต่ำ ทำให้สามารถสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วและไร้รอยต่อ
Headphone (1) มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Black และ White ราคา 8,999 บาท
การวางจำหน่าย
สำหรับประเทศไทย ผู้ใช้งานจะมีโอกาสเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกของโลกที่ได้ครอบครอง Phone (3) และ Headphone (1) ก่อนใครกับ Limited Drop เปิดขายรอบพิเศษที่ Nothing Store (One Bangkok) และ Carnival (CentralWorld) ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป สำหรับการสั่งซื้อ Phone (3) รับสิทธิ Storage Upgrade ฟรี พร้อมของสมนาคุณสุดพิเศษ Nothing Ear, Nothing Cap และ Nothing Tote Bag และสำหรับการสั่งซื้อ Headphone (1) รับของแถม Nothing Headphone Protective Cover ทั้งนี้สินค้าทั้งหมดมีจำนวนจำกัดโดยจะให้สิทธิสำหรับผู้ที่ถึงก่อนตามลำดับคิวการสั่งซื้อ
สำหรับการพรีออเดอร์ สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย Nothing ที่ร่วมรายการรวมถึงช่องทางออนไลน์รายละเอียดดังนี้
- Phone (3) ความจุ 16 GB + 512 GB จะเริ่มเปิดให้สั่งพรีออเดอร์ พร้อมรับสิทธิ Storage Upgrade ฟรี ซึ่งมีจำนวนจำกัด ตามลำดับการสั่งซื้อ ผ่านร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ dotlife, Jaymart, Banana, Mocare, Powerbuy, Power Mall และ Pro Gadgets, ผู้บริการเครือข่าย AIS และช่องทางออนไลน์ Lazada, Shopee และ Alottech ซึ่งจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมเป็นต้นไป
- Phone (3) ความจุ 12 GB + 256 GB จะเปิดขายเฉพาะวันที่เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมเป็นต้นไป
- สำหรับการพรีออเดอร์ Headphone (1) จะได้รับ Nothing Headphone Protective Cover โดยสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เช่นเดียวกัน ผ่านร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ dotlife, Jaymart, Banana, Powerbuy และ Munkong และช่องทางออนไลน์ Lazada และ Shopee ซึ่งจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมเป็นต้นไป
ไม่เพียงเท่านี้ Nothing ยกระดับประสบการณ์หลังการขาย ด้วยบริการสายด่วนตลอด 24 ชั่วโมง โทร 1800 018 320 รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมศูนย์บริการ 10 แห่ง และจุดรับส่งสินค้า (Drop-off locations) ใกล้บ้านคุณ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์บริการได้ที่ https://th.nothing.tech/pages/service-center ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
ติดตามรายละเอียดสเปกและฟีเจอร์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ https://my.nothing.tech/ และติดตามทุกความเคลื่อนไหวล่าสุดจาก Nothing ได้ทาง Instagram, TikTok, และ X
