ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่สำหรับ iPhone 11 ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะเรื่องกล้องที่เพิ่มเลนส์ Ultra wide เข้ามา รวมไปถึงการอัพเกรดประสิทธิภาพความแรงเทียบเท่ารุ่น Pro แต่สำหรับรุ่นนี้ถือว่ามาแทน iPhone XR ที่ถือว่าเป็นรุ่นประหยัดสำหรับ iPhone แต่จะมีอะไรที่ดีกว่าเดิมเรามาดู รีวิว iPhone 11 กันเลย
สเปค IPHONE 11
- ขนาดตัวเครื่อง 150.9 x 75.7 x 8.3 มม.
- น้ำหนัก 194 กรัม
- หน้าจอ Liquid Retina Display ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 828 x 1792
พิกเซล ที่ 326 PPI - ชิพ A13 Bionic Neural Engine, RAM 4 GB
- ความจุ 64 GB, 128 GB และ 256 GB
- กล้องหลัง 2 ตัว
- เลนส์อัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/2.4 และ
มุมมองภาพ 120° - เลนส์ไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
แบบออปติคอล
- เลนส์อัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/2.4 และ
- ซูมเข้าแบบ
ออปติคอล 2 เท่า - บันทึก
วิดีโอได้สูงสุดระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps - กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2
- GPS/GNSS ภายในตัว
- รองรับ Dolby Atmos
- เซ็นเซอร์ Face ID, บารอมิเตอร์, Gyroscope 3 แกน,
อุปกรณ์ ตรวจจับการเคลื่อนไหว, เซ็นเซอร์ ตรวจจับระยะ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ - ระบบปฏิบัติการ iOS 13
- กันน้ำที่ระดับ IP68
(ความลึกไม่เกิน 4 เมตร ภายใน ระยะเวลา สูงสุด 30 นาที)
แกะกล่อง รีวิว iPhone 11
แรกเห็นเปิดตัวผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็รู้สึกอยากสัมผัสแล้ว ด้วยสีสันที่มีมาให้เลือกมากมาย เลือกซื้อได้ตามความชอบ โดยเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสีขาวสะอาดตา สังเกตได้จากกล่องที่แสดงให้เห็นถึงสีขาวของด้านหลัง และยังโดดเด่นด้วยเลนส์กล้อง 2 เลนส์ที่เห็นเด่นชัดที่สุด บ่งบอกความเป็น iPhone 11 ได้อย่างชัดเจน มาแกะกล่องดูกันเลยว่ามีอะไรมาให้บ้าง
- iPhone 11 สีขาว
- สายชาร์จแบตเตอรี่พอร์ต Lightning
- อแดปเตอร์จ่ายไฟ 5 วัตต์
- ชุดหูฟัง Earpods แบบ Lightning
- คู่มือการใช้งาน + สติ๊กเกอร์แอปเปิ้ล
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
ภายในกล่องยังคงมีอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เช่นเดิม แต่ที่น่าจะปรับปรุงคืออแดปเตอร์ที่มีกำลังไฟเพียง 5 วัตต์ที่ถือว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด แต่ตัวเครื่องก็ยังคงรองรับอแดปเตอร์กำลังไฟ 18 วัตต์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ต้องซื้อเพิ่มตั้งอแดปเตอร์ และสาย USB-C to Lightning
สำหรับตัวเครื่องด้านหน้ายังคงดีไซน์เดิม ส่วนบนของหน้าจอยังมีรอยบากสำหรับใส่เซ็นเซอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องอินฟราเรดสำหรับตรวจจับใบหน้า, เซ็นเซอร์วัดแสง, เซ็นเซอร์วัดระยะ, กล้องหน้า, ลำโพง, Dot Projector ส่วนหน้าจอเป็นจอภาพที่ทางแอปเปิ้ลเรียกว่า Liquid Retina HD จอภาพมีขนาดใหญ่ 6.1 นิ้ว แสดงสีสันได้สวยงามตามแบบฉบับ iPhone
ด้านหลังสีขาวสะอาดที่เห็นผ่านกระจกที่ครอบทับสีขาวด้านใน โดดเด่นด้วยเลนส์กล้อง 2 เลนส์ที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมนูนขึ้นมาเห็นชัดเจน พร้อมไฟแฟลชแบบ LED ตรงกลางยังคงมีโลโก้ Apple สีเงินอยู่ตรงกลางเป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ
ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ที่ด้านข้างซ้าย พร้อมสวิตซ์ปรับระบบสั่นที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องเข้าเมนูให้ยุ่งยาก ส่วนที่ด้านข้างขวามีเพียงถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM
ด้านล่างมีช่องลำโพง พอร์ต Lightning และช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา
เปิดโลกมุมกว้างด้วยกล้อง Ultra Wide Dual Camera
พัฒนาต่อจาก iPhone XR โดยเพิ่มเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่เก็บภาพได้กว้าง 120 องศาที่เก็บภาพได้กว้างกว่าเดิม 4 เท่า ทำให้มองเห็นมุมที่กว้างกว่ากล้องแบบเดิมๆ สำหรับรุ่นนี้ยังมีเลนส์ Wide หรือเลนส์ปกติที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูม Optical ได้ 2 เท่า มีระบบ Focus Pixels 100% ช่วยโฟกัสภาพได้รวดเร็วกว่าเดิม อีกทั้งยังเก็บแสงได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย จากการทดสอบถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ได้ภาพที่สว่างน่าประทับใจ แต่จะต้องถือกล้องให้นิ่งสักพัก เพราะตัวเครื่องจะทำการเก็บแสงให้ได้มากที่สุด ถือว่ารุ่นนี้ทำออกมาได้ดีทีเดียว
ในโหมดถ่ายภาพแบบ Portrait สามารถปรับหน้าชัดหลังละลายได้ด้วยการปรับรูรับแสงได้ต่ำสุด f/1.4 ไปจนถึง f/16 ยิ่งตัวเลขน้อย ฉากหลังก็จะยิ่งละลายมากยิ่งขึ้น และยังคงมีฟีเจอร์ Studio light ให้เลือกปรับแสงในแบบต่างๆ อีก 6 แบบ และยังเลือกปรับแสงได้อีกถึง 100 ระดับ ซึ่งจะช่วยปรับภาพให้หน้าเนียนยิ่งขึ้นด้วย จากเดิมที่สาวๆ เคยบ่นว่ากล้องหน้าของ iPhone ไม่ช่วยปรับใบหน้า มาในรุ่นนี้สามารถปรับให้หน้าดูเนียนขึ้นได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายภาพต่างให้เลือกอย่างเช่น Time lapse, Panorama และ Slo-mo 240 เฟรมต่อวินาที ซึ่งสามารถถ่าย Slo-mo ได้ 120 เฟรมต่อวินาที จากกล้องหน้าก็ได้ด้วย ซึ่งทาง Apple เรียกว่า Slofie
สำหรับการถ่ายคลิปวิดีโอก็สามารถเลือกถ่ายได้ทั้งเลนส์ Wide แบบปกติ และเลนส์ Ultra wide เลือกปรับความละเอียดได้สูงถึง 4K ด้วยอัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แต่ก็จะใช้พื้นที่หน่วยความจำเยอะเช่นกัน นอกจากนี้แล้วการตัดต่อวิดีโอก็ยังมีฟีเจอร์เพิ่มมาให้อย่างเช่นการตัดต่อ การปรับเอียงวิดีโอ การใส่ฟิลเตอร์ให้กับคลิปวิดีโอ แต่หากต้องการลูกเล่นที่มากกว่านั้นก็สามารถใช้แอพฯ iMovie ที่มีลูกเล่นในการตัดต่อมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นแอพฯ ที่แถมมาให้กับ iPhone ทุกเครื่องอยู่แล้ว
ภาพตัวอย่างจากกล้องในระยะต่างๆ
อัพเกรดประสิทธิภาพด้วยชิพประมวลผล Apple A13 Bionic และระบบปฏิบัติการ iOS 13 ใหม่ล่าสุด
ชิพประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Apple A13 Bionic ถูกนำมาใช้ทั้งรุ่น iPhone 11 และรุ่น Pro ให้ประสิทธิภาพความแรงที่เหมือนกัน และยังมาพร้อม RAM 4 GB ส่วน ROM หรือพื้นที่หน่วยความจำมีให้เลือกทั้งขนาด 64, 128 และ 256 GB จากการทดสอบใช้งานทั่วไป ไปจนถึงการเล่นเกม 3D หนักๆ ก็ทำได้ดี ภาพกราฟฟิคลื่นไหล ไม่กระตุก แต่ก็อาจจะทำให้เครื่องร้อนได้เมื่อเล่นเกมนานๆ จากการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu Benchmark ได้คะแนนสูงถึง 478374 ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับฝั่งแอนดรอยด์
Ecosystem ให้เลือกใช้งานครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า iPhone มีบริการต่างๆ ให้เลือกใช้งานครบวงจร โดยเริ่มจาก App Store ที่มีแอพฯ ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งแอพฯ ใหม่ๆ ส่วนมากก็เลือกที่จะลง App Store ให้ iPhone ได้ใช้งานก่อน ตามมาด้วย Apple Music ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน จนมาถึงการเปิดตัว iPhone 11 ที่มีการเปิดตัว Apple TV+ บริการสตรีมภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดที่ผู้ใช้ iPhone 11 ที่ซื้อเครื่องใหม่จะมีสิทธิทดลองใช้งานฟรีถึง 1 ปีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี Apple Arcade ที่เปิดให้เล่นเกมได้แบบไม่อั้นด้วยการจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือน เรียกได้ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ก็ทำได้ด้วย iPhone เพียงเครื่องเดียว
บทสรุป รีวิว iPhone 11 จากความคิดเห็นของทีมงาน What Phone
การมาของ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ถือว่าน่าสนใจกว่าปีก่อนๆ เพราะนอกจากจะมีราคาถูกลงแล้ว ยังมีการอัพเกรดเพิ่มกล้องเลนส์ Ultra wide พร้อมทั้งบริการใหม่ๆ อย่าง Apple TV+ และ Apple Arcade เข้ามาด้วย ยิ่งทำให้การใช้งานครบเครื่องยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับตัวเครื่องที่เราได้มาทดสอบนั้นก็ทำได้น่าประทับใจ ทั้งประสิทธิภาพ ความลื่นไหล การถ่ายภาพที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ เก็บแสง และรายละเอียดได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในรุ่นนี้ก็ยังมีสีใหม่ๆ ให้เลือกหลากหลายสีด้วย ส่วนราคาวางจำหน่ายก็ถือว่าสูงกว่าสมาร์ทโฟนค่ายอื่นๆ แต่ด้วยการใช้งานที่ครบครัน และบริการต่างๆ ทำให้เราใช้งานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ใช้ที่ไม่เกี่ยงเรื่องงบประมาณอาจจะข้ามไป iPhone 11 Pro หรือ Pro Max ก็ได้ เพราะรุ่นนั้นจะได้จอแสดงผลที่ดีกว่า และได้กล้องเพิ่มเข้ามา แต่สำหรับ iPhone 11 รุ่นนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมดแล้ว
ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 11
ติดตามข่าวสาร อัพเดทวงการสมาร์ทโฟนได้ที่ Facebook Fanpage What Phone