รีวิว OPPO Band สมาร์ทแบนด์รุ่นแรกจากค่าย OPPO ที่มาพร้อมฟีเจอร์ที่โดดเด่นสำหรับสายสุขภาพ แต่เปิดตัวในราคาเบาๆ เพียงพันนิดๆ มีขนาดเล็กกะทัดรัด สวมใส่สบาย หน้าจอสีสันสวยงาม มาดูกันว่าสมาร์ทแทร็คเกอร์รุ่นนี้จะมีอะไรให้เราได้ใช้งานบ้าง มาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองเล่น OPPO Band
สำหรับกล่องของสมาร์ทแบนด์รุ่นนี้ก็มีขนาดกะทัดรัด ที่ด้านหน้ากล่องมีรูป OPPO Band สีดำชัดเจน ส่วนที่หลังกล่องมีบอกคุณสมบัติเด่นๆ ของรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาด 1.1 นิ้ว จอภาพ AMOLED, มีระบบวัดระดับออกซิเจนในเลือด หรือ SpO2 แบบต่อเนื่อง, วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ Real time, ตรวจวัดการออกกำลังกายได้ 12 แบบ, กันน้ำลึก 50 เมตร และมีระบบการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- OPPO Band สีดำ
- สายชาร์จแบตเตอรี่
- คู่มือการใช้งาน
OPPO Band สมาร์ทแบนด์ขนาดกะทัดรัด สวมใส่สบายได้ทั้งวัน
หากไม่ชอบการสวมใส่นาฬิกา หรือสมาร์ทวอชเรือนใหญ่ OPPO Band ถือว่าเป็นสมาร์ทแทร็คเกอร์ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สวมใส่สบายแม้กระทั่งเวลานอน เมื่อแกะกล่องออกมาจะเห็นอุปกรณ์เพียงแค่ 2 ชิ้นคือสมาร์ทแบนด์, สายชาร์จ
ตัวสมาร์ทแทร็คเกอร์แบ่งออกเป็น 2 ชิ้น คือตัว OPPO Band และสายแบบสปอร์ต การใช้งานครั้งแรกจำเป็นต้องถอดตัวสมาร์ทแทร็คเกอร์ออกมาชาร์จกับแบตเตอรี่เพื่อเปิดเครื่องก่อน จากนั้นก็สามารถประกอบกลับเข้าไปในสายเพื่อใช้งานได้
จอแสดงผลแบบสัมผัสมีขนาด 1.1 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ AMOLED ที่นอกจากจะให้สีสันสวยงามแล้ว ยังประหยัดพลังงาน วัสดุหน้าจอยังทำจากกระจกโค้ง 2.5D ขอบโค้งมนดีไซน์เข้ารูปกับสายนาฬิกา หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสสามารถใช้นิ้วมือแตะสั่งงาน การเลื่อนเมนูก็ปัดเลื่อนขึ้นลง ซ้ายขวาได้อย่างง่ายดาย
ด้านหลังของสมาร์ทแบนด์มีเซ็นเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจแบบออฟติคอล เป็นไฟ LED สีเขียว ส่วนเซ็นเซอร์ตรวจจับค่าระดับออกซิเจนในเลือดจะเปล่งแสงเป็นสีแดงเพื่อตรวจวัด โดยเมื่อสวมใส่ OPPO Band เซ็นเซอร์ทั้งสองจะแนบติดกับผิวหนังเพื่อตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเส้นเลือด นอกจากนี้ยังมีหน้าสัมผัสสำหรับชาร์จแบตเตอรี่กับที่ชาร์จมาให้ด้วย
สายแบบสปอร์ตสีดำ ใช้วัสดุเป็นแบบ TPU น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย ทนทาน ไม่อมน้ำหรือเหงื่อ อีกทั้งยังสามารถถอดล้างน้ำหลังจากออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกังวล การสวมใส่ก็ทำได้ง่าย ไม่หลุดง่ายๆ
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ และการใช้งานครั้งแรกจำเป็นต้องถอดตัวสมาร์ทแทร็คเกอร์ออกมาจากสายก่อน จากนั้นนำไปเสียบเข้ากับที่ชาร์จ โดยนำปลายสายไปเสียบเข้ากับอแดปเตอร์ชาร์จไฟของสมาร์ทโฟน หรือเสียบเข้ากับช่อง USB บนคอมพิวเตอร์ หรือ Powerbank ก็ได้เช่นกัน และเมื่อชาร์จเสร็จก็ถอดออกแล้วนำไปเสียบเข้ากับสายรัดข้อมือเช่นเดิม อาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก แต่การชาร์จ 1 ครั้งก็สามารถใช้งานได้เป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
ใช้งานร่วมกับแอพฯ HeyTab Health
ในการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนเพื่อดูข้อมูลต่างๆ ที่สมาร์ทแบนด์เก็บมาได้ รวมไปถึงการตั้งค่า การดาวน์โหลด Watch face ก็สามารถทำได้ผ่านแอพฯ ที่ชื่อว่า HeyTab Health รองรับทั้งสมาร์ทโฟน OPPO หรือสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS เมื่อดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วให้เปิด Bluetooth และแอพพลิเคชั่นเตรียมพร้อมเชื่อมต่อ
โดยการใช้งานครั้งแรกเมื่อแกะกล่องออกมาจำเป็นต้องเสียบสายชาร์จเพื่อกระตุ้นแบตเตอรี่เพื่อเปิดเครื่อง จากนั้นเปิดแอพฯ เลือก OPPO Band แล้วทำตามขั้นตอนการเชื่อมต่อที่แนะนำบนหน้าจอแป๊บเดียวก็เสร็จเรียบร้อย อาจจะมีหน้าอัพเดทสมาร์ทแบนด์ก็ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็สามารถใช้งานได้ทันที
สำหรับการเปลี่ยนหน้าปัด ตัว OPPO Band เองก็มีมาให้เลือก 5 แบบอยู่แล้ว สามารถปัดซ้าย ขวาเพื่อเปลี่ยนได้ตามความชอบ แต่หากต้องการเปลี่ยนเป็นแบบอื่นๆ ก็สามารถเปลี่ยนได้จากแอพฯ HeyTab Health มีให้เลือกถึง 40 แบบ และยังสามารถนำภาพที่อยู่ใน Gallery มาใช้เป็นภาพพื้นหลัง Watch face ก็ได้เช่นกัน แต่ OPPO Band สามารถเก็บ Watch face ได้ทั้งหมด 5 แบบ หากต้องการเปลี่ยนแบบอื่นๆ ก็จำเป็นที่จะต้องลบอันเก่าก่อนจึงจะสามารถดาวน์โหลดอันใหม่ได้
การตรวจวัดออกซิเจนในเลือด (SpO2) แบบต่อเนื่อง
เราจะเห็นฟีเจอร์ตรวจวัดออกเซิเจนในเลือด หรือตรวจวัดค่า SpO2 บนสมาร์ทวอชที่มีราคาแพง แต่สำหรับ OPPO Band รุ่นนี้ก็มีมาให้ใช้งานด้วยเช่นกัน โดยสามารถตรวจวัดวงจรการนอนหลับของผู้ใช้งานได้ทั้งหมด 8 ชั่วโมง และสามารถตรวจวัด SpO2 แบบต่อเนื่องได้ถึง 28,800 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจน และอัตราการหายใจได้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ใช้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ และปรับตัวให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น
หลักการทำงานคร่าวๆ ของระบบการวัดนี้ OPPO Band จะทำการตรวจวัด SpO2 ผ่านการรวบรวมข้อมูลอัตราการดูดซึมเมื่ออยู่ภายใต้แสงสีแดง และแสงอินฟราเรดที่แตกต่างกันของ Oxygenated hemoglobin (HbO2) และ Deoxygenated hemoglobin (Hb) ตามลำดับ โดยเซ็นเซอร์แบบออปติคัลจะรับข้อมูลโดยการส่องแสงไฟไปที่เส้นเลือดบนข้อมือของผู้ใช้งาน และรวบรวมข้อมูลที่สะท้อนกลับมายังเซ็นเซอร์
ตรวจจับความเคลื่อนไหว อัตราการเต้นของหัวใจ การนอนหลับ และการออกกำลังกาย
นับเป็นสมาร์ทแบนด์ที่เหมาะกับการตรวจจับความเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เพราะด้วยสมาร์ทแบนด์มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ใส่ได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งอาบน้ำ หรือนอนหลับ สามารถดูข้อมูลต่างๆ ที่ OPPO Band เก็บมาได้ ทั้งข้อมูลการออกกำลังกาย จำนวนก้าวเดิน อัตราการเต้นของหัวใจ การนอนหลับ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะได้จากการที่เราใส่สมาร์ทแบนด์ตลอดเวลา ช่วยให้เรานำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละวัน หรือแต่ละช่วงเวลาเราเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร สามารถนำมาปรับการใช้ชีวิตประจำวันของเราเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
ฟังก์ชั่นติดตามการออกกำลังกายก็มีให้เลือกมากถึง 12 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, การวิ่งกลางแจ้ง, วิ่งในร่ม, วิ่งเผาผลาญไขมัน, ปั่นจักรยานกลางแจ้ง, ปั่นจักรยานในร่ม, เครื่องออกกำลังกายแบบเดิน, เครื่องออกกำลังกายแบบพายเรือ, คริกเก็ต, แบดมินตัน, ว่ายน้ำ, โยคะ และการออกกำลังกายแบบฟรีสไตล์ นอกจากนี้ OPPO Band ยังสามารถกันเหงื่อ กันน้ำลึกได้ถึง 50 เมตร หมดกังวลเรื่องน้ำเข้าเลย
บทสรุป รีวิว OPPO Band จากความเห็นของ What Phone
จากการใช้งานมาสักระยะ OPPO Band ถือเป็นสมาร์ทแทร็คเกอร์ที่สวมใส่ได้สบายมาก มีความเบาใส่สบาย ถึงแม้ว่าจะใส่นอนก็ไม่รู้สึกอึดอัด ดีไซน์สวยงาม สามารถใส่ได้ในทุกโอกาส มีฟีเจอร์การใช้งานที่อัดแน่นกว่าสมาร์ทแบนด์ทั่วไป โดยเฉพาะเซ็นเซอร์ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด หรือ SpO2 ที่สมาร์ทแบนด์อื่นๆ ในระดับพันบาทไม่มีมาให้ อีกทั้งแอพพลิเคชั่น HeyTap Health ก็ใช้งานง่าย แสดงผลข้อมูลต่างๆ ได้อย่างละเอียด สามารถนำข้อมูลจาก OPPO Band มาปรับปรุงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเราให้ดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น
นอกจากฟังก์ชั่นในด้านสุขภาพแล้ว ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรีโมทควบคุมสมาร์ทโฟน ทั้งการเล่นเพลง, การใช้เป็นรีโมทถ่ายภาพ, มีระบบแจ้งเตือน และแสดงสายโทรเข้า รองรับการใช้งานภาษาไทยเต็มรูปแบบ ใช้งานยาวนาน 12 วัน เปิดตัวในราคาเพียง 1,199 บาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ากับการติดตามสุขภาพในราคานี้
สรุปจุดเด่น สเป็ค OPPO Band
- ขนาด 40.4 x 17.6 x 11.45 มม. น้ำหนัก 10.3 กรัม (ไม่รวมสาย)
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.1 นิ้ว ความละเอียด 126 x 294 พิกเซล
- หน้าจอสั่งงานด้วยระบบสัมผัส ทำจากกระจก 2.5D พร้อมเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ 100 mAh ใช้งานได้ 12 วัน
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และเซ็นเซอร์วัดความเร่งแบบ 3 แกน
- เชื่อมต่อด้วยระบบ Bluetooth 5.0 BLE
- หน่วยความจำ RAM 512 kB, Flash memory 16 MB
- รองรับระบบปฏิบัติการ Android 5.0 ขึ้นไป และ iOS 10.0 ขึ้นไป
- กันน้ำลึก 50 เมตร (5 ATM)
- มีระบบสั่นเตือนด้วยมอเตอร์
- รองรับระบบปฏิบัติการ Android และ iOS
- ใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น HeyTap Health
- ราคา 1,199 บาท
- มีให้เลือก 2 สี Black และ Lavender