สานต่อสมาร์ทโฟนระดับ Flagship กับ Huawei Mate40 Pro ที่พัฒนาขีดความสามารถมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่มี Google Service แต่สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็มีหลายอย่างที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนระดับ Flagship ทั่วไปในหลายๆ ด้านเพื่อลบจุดด้อยตรงนี้ มาดูกันว่าคราวนี้ รีวิว Huawei Mate40 Pro จะมีอะไรโดดเด่นบ้าง
แกะกล่องลองเล่น Huawei Mate40 Pro
กล่องของ Mate Series ยังคงมาในแนวสีดำอยู่เช่นเคย ด้านหน้ากล่องสกรีน Huawei Mate40 Pro สีทองด้านหน้า พร้อมด้วยโลโก้ CO-ENGINEERED WITH Leica ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง Huawei และ Leica ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในรุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ยังมีโลโก้ AppGallery ที่สามารถดาวน์โหลดแอปฯ ต่างๆ ได้จากที่นี่
และสำหรับอุปกรณ์ในกล่องก็มีมาให้อย่างครบครันไม่มีกั๊ก เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- สมาร์ทโฟน Huawei Mate40 Pro 5G สี Mystic Silver
- อแดปเตอร์จ่ายชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟ 66 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- ชุดหูฟังสมอลล์ทอล์ค
- เคสใสแบบซิลิโคน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งาน
สำหรับอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่องแทบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติม มีอแดปเตอร์แถมมาให้ในกล่องครบ ไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟน Flagship รุ่นอื่นๆ ที่ไม่แถมอแดปเตอร์ ไม่แถมหูฟังมาให้ นอกจากนี้ยังมีฟิล์มกันรอยที่ติดมาบนหน้าจอพร้อมใช้งานทันที และสำหรับเคสใสที่แถมมาให้ในกล่องก็สามารถปกป้องตัวเครื่องได้รอบตัว และไม่บดบังสีสัน ความสวยงามของตัวเครื่องด้วย
นวัตกรรมผสานดีไซน์ไอคอนนิก
ดีไซน์ของตัวเครื่องยังคงกลิ่นอายของ Mate30 Pro อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ดีไซน์ และการใช้งานบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้ดีขึ้น อย่างเช่นปุ่มกดปรับระดับเสียงที่จากเดิมเป็นระบบสัมผัส อาจจะไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้บางคน สำหรับดีไซน์ด้านหลังของรุ่นนี้เปลี่ยนเป็นแบบด้าน ไม่ทำให้เป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย และสำหรับดีไซน์กล้องก็เป็นแบบ Space Ring ซึ่งจะมีกล้องทั้งหมดล้อมรอบเรียงกันเป็นวงกลม
จอแสดงผลของรุ่นนี้ก็เปลี่ยนจากจอที่เป็นรอยบากตรงกลาง เป็นแบบเจาะรูอยู่ที่มุมบนซ้าย ทำให้ได้พื้นที่แสดงผลมากขึ้น โดยจอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ 6.76 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ OLED ความละเอียดระดับ FHD+ หรือความละเอียด 1344 x 2772 พิกเซล แสดงผลด้วยอัตรา Refresh rate ที่ 90 Hz และมีอัตรา Touch Sampling Rate อยู่ที่ 240 Hz มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ใต้หน้าจอส่วนล่าง
ด้านหลังสี Mystic Silver สวยงามมาก สมกับที่ใช้คำว่า Mystic ที่มีสีสันต่างๆ ให้ค้นหาหลากสีมาก หากมองแบบตรงๆ ก็จะเห็นเป็นสีขาวๆ เงินๆ แต่เมื่อเอียงเครื่องตามมุมต่างๆ ก็จะเห็นแสงตกกระทบสะท้อนออกมาหลากสีเหมือนกับสีรุ้ง สวยงามน่าค้นหา สำหรับเลนส์กล้องของรุ่นนี้ดีไซน์แบบ Space Ring โดยเลนส์รับภาพ และเซ็นเซอร์ต่างๆ ทั้งหมดจะเรียงเป็นวงกลมโดยมีสัญลักษณ์ LEICA อยู่ตรงกลาง
จอแสดงผลด้านข้างขอบโค้งแบบ Huawei Horizon Display โค้งทำมุม 88 องศา ที่ด้านข้างซ้ายไม่มีปุ่มกดใดๆ แต่เราสามารถสั่งปรับเพิ่มระดับเสียงโดยการแตะ 2 ครั้งด้านข้างส่วนบนเพื่อปรับระดับเสียงเหมือนกับรุ่น Mate30 Pro ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียงแบบปุ่มกดมาให้แล้ว ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องมีสัญลักษณ์เป็นสีแดง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีลำโพงแบบสเตอริโอมาให้แล้ว และยังมีไมโครโฟน, พอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ ส่วนด้านล่างมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด, ช่องเสียบสาย USB-C และช่องลำโพงแบบสเตอริโอ
กล้อง Ultra Vision ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เทคโนโลยี LEICA
Huawei ยังคงร่วมมือกับ LEICA ผู้ผลิตกล้องและเลนส์ระดับโลก ซึ่งความร่วมมือนี้ทำให้สมาร์ทโฟน Huawei ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งใน P Series และ Mate Series มาถึงรุ่นนี้ก็ยังคงได้รับความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพ โดยกล้องของ Mate40 Pro รุ่นนี้ด้านหลังมีกล้องมาให้ 3 เลนส์ และกล้องหน้ามี มีรายละเอียดดังนี้
- กล้องหลัง 3 เลนส์ ระบบ Laser Auto Focus
- กล้องเลนส์หลัก Super Sensing Wide Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.9
- กล้องเลนส์ Ultra-Wide Cine Camera ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/1.8
- กล้องเลนส์ Periscope Telephoto Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/3.4 ซูม Optical 5x
- กล้องหน้า Ultra Vision Selfie Camera 2 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้อง 3D Depth Sensing Camera
สำหรับโหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหากถ่ายภาพทั่วไปก็มีระบบ AI คอยช่วยปรับแต่งโทนสีของภาพให้เข้ากับวัตถุนั้นๆ อย่างเช่นถ่ายอาหารระบบก็จะช่วยเร่งสีให้สดขึ้นเพื่อให้อาหารดูน่ารับประทาน หรือหากถ่ายท้องฟ้า AI ก็จะเร่งสีฟ้าให้ดูสดใส นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด Portrait หรือการถ่ายภาพบุคคล เลือกปรับความเนียนใสของใบหน้าได้ในโหมด Beauty
แต่ถ้าต้องการภาพสวยๆ หรือปรับแต่งการถ่ายภาพเองก็มีให้เลือกโหมดการแบบโปร สามารถปรับค่ารูรับแสงที่สามารถปรับได้กว้างสุดที่ f/0.95 และแคบสุดที่ f/16, ค่าสปีดชัตเตอร์เลือกปรับได้ตั้งแต่ 1/4000 วินาที ไปจนถึง 30 วินาที ส่วนค่า ISO สามารถปรับได้สูงสุดถึง 409600 ทำให้การถ่ายภาพได้ดั่งใจเหมือนถ่ายจากกล้องโปรมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายภาพแบบ Slow motion, เลนส์ AR, ถ่ายภาพเอกสาร เป็นต้น
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
ในด้านการถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยเฟรมเรท 60 เฟรมต่อวินาที มีโหมด Steady shot ที่ช่วยลดการสั่นไหวของภาพ โดยรองรับการถ่ายทั้งกล้องหน้ากล้องหลัง และยังมีโหมด Story Creator ทำให้การถ่ายวิดีโอ หรือ Vog ได้ง่าย สะดวก และสนุกมากยิ่งขึ้น
หน่วยประมวลผล Kirin 9000 ชิพเซ็ต 5G บนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตรรุ่นแรกของโลก
หน่วยประมวลผลตระกูล Kirin ยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาจากรุ่นก่อนๆ ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลที่ทาง Huawei พัฒนาขึ้นมาใช้กับสมาร์ทโฟนของตัวเอง โดยชิพเซ็ต Kirin 9000 รุ่นนี้เป็นชิพเซ็ตที่รองรับ 5G ตัวแรกที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ 5 นาโนเมตร นอกจากจะเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์เข้าไปได้มากแล้ว ทำให้ประมวลผลได้แรงแล้ว ยังใช้พลังงานน้อยลงด้วย และสำหรับหน่วยความจำมี RAM มาให้ 8 GB และ ROM 256 GB และยังคงรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ Nano SD Card สูงสุด 256 GB โดยเสียบเข้าแทนที่ช่อง SIM2
นอกจากนี้ชิพเซ็ตยังได้รวมเอาโมเด็ม 5G ไว้ในตัว และถูกออกแบบให้ใช้พลังงาน 3 ระดับ โดยทำงานระหว่างแกนหลักขนาดใหญ่ 2 แกน และอีก 1 แกนเล็ก ช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีชิพประมวลผลภาพ 3D อย่าง Mali-G78 GPU ขนาด 24-Core ด้วย ทำให้การเล่นเกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
สำหรับระบบการทำงานยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 10 ครอบทับด้วย EMUI เวอร์ชั่น 11 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
จากการทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ อย่าง Free Fire ที่ดาวน์โหลดมาจาก Huawei AppGallery ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล สามารถปรับความละเอียดได้จนสุด และด้วยหน้าจอ Touch Sampling Rate สูงถึง 240 Hz ก็ยิ่งช่วยให้การแตะสัมผัสทำได้รวดเร็วทันใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับการทดสอบความแรงของหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำด้วยแอพฯ Antutu Benchmark พบว่าทำคะแนนได้ 598758 คะแนน ถือว่าสูงมากๆ ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 พบว่าทำคะแนน Single-core ได้ 774 และ Multi-core ทำคะแนนได้ 3109 คะแนน
Huawei AppGallery แหล่งรวมแอพฯ ของ Huawei
แม้ว่าจะไม่มี Google Service แต่ก็ยังคงใช้งานได้เกือบจะเทียบเท่าด้วยแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่อยู่ใน Huawei AppGallery โดยแอพฯ พื้นฐานที่จำเป็นของไทยก็มาอยู่ในนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งแอพฯ การเงิน การธนาคาร แอพฯ แชทอย่าง Line, WeChat ก็มีครบ จะดูหนัง ดูทีวีก็มี LineTV, MONOMAX หรือหากต้องการดู YouTube ก็สามารถใช้ Browser เปิดดูก็ได้เช่นกัน โดยรวมแล้วไม่ต่างกันมาก นอกจากนี้แล้วยังมี Theme, Wallpaper ภาพ AOD (Always on display), หน้าปัดนาฬิกา Huawei Watch ต่างๆให้เลือกซื้อ และดาวน์โหลดอีกมากมาย
Huawei Super Charge 66 วัตต์ รองรับการชาร์จแบบไร้สาย 50 วัตต์
Huawei Mate40 Pro 5G รุ่นนี้พัฒนาให้ชาร์จได้เร็วถึง 66 วัตต์ ซึ่งจากรุ่นก่อนที่ชาร์จได้เร็ว 40 วัตต์ โดยแบตเตอรี่ของรุ่นนี้มีมาให้ 4,400 mAh ซึ่งจากการทดสอบชาร์จ 5 นาที ได้แบตเตอรี่เพิ่มไปถึง 20% และจากการทดสอบชาร์จจาก 5% ไปจนถึง 100% ใช้เวลาเพียง 45-50 นาทีเท่านั้น ถือว่าเร็วมากๆ โดยการชาร์จแบบ SuperCharge นี้จะต้องใช้อแดปเตอร์ และสายชาร์จของ Huawei เท่านั้น ส่วนการชาร์จแบบไร้สายก็สามารถชาร์จได้ด้วยกำลังไฟสูงถึง 50 วัตต์ ถือว่าเป็นระบบชาร์จแบบไร้สายที่เร็วที่สุดตอนนี้เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ตัวเครื่องยังสามารถชาร์จให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ผ่านสาย และผ่านระบบ Wireless ที่ด้านหลังของตัวเครื่องได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นๆ, ชุดหูฟังบลูทูธ, สมาร์ทวอช หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับ
บทสรุป รีวิว Huawei Mate40 Pro 5G จากความเห็นของ What Phone
หลังจากใช้งาน รีวิว Huawei Mate40 Pro 5G มาสักระยะพบว่าสมาร์ทโฟน Flagship รุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟนที่ถือว่าดีมากๆ รุ่นหนึ่ง จะขาดก็เพียงแต่บริการของ Google Mobile Service ที่อาจจะต้องปรับตัวกันสักพักหนึ่ง ซึ่งจากการใช้งานแม้ว่าจะขาดบางอย่างไปบ้าง แต่ก็สามารถใช้งานได้ดี มีแอพฯ ต่างๆ ที่จำเป็นใน Huawei AppGallery ครบ โดยเฉพาะแอพฯ การเงิน การธนาคารที่มีมาให้ค่อนข้างครบ หรือบางอย่างอาจจะอาศัย Browser ใช้แทนแอพฯ ก็ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่เราประทับใจแบบสุดๆ คงจะเป็นเรื่องของการถ่ายภาพที่ทำออกมาได้เหนือกว่าคู่แข่งในหลายๆ ด้าน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ Huawei Mate Series และ P Series อย่างไรก็ดี หากชื่นชอบการถ่ายภาพ และประสิทธิภาพที่แรงไม่แพ้ใคร สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีเลยล่ะ
สรุปสเป็ค
- ขนาด 162.9 x 75.5 x 9.1 มม. นัำหนัก 212 กรัม
- รองรับเครือข่าย 5G NR : n1 / n3 / n5 / n7 / n8 / n28 / n38 / n40 / n41 / n77 / n78 / n79 / n80 / n84
- หน้าจอ OLED FHD+ ขนาด 6.76 นิ้ว ความละเอียด 1344 x 2772 พิกเซล, แสดงผล 90 Hz
- หน่วยประมวลผล Kirin 9000 Octa-core ความเร็ว 3.13, Mali-G78 GPU 24-Cores
- ระบบปฏิบัติการ Android 10, EMUI 11
- หน่วยความจำ RAM 8 GB, ROM 256 GB
- รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ Nano SD สูงสุด 256 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหลัง 3 เลนส์ ระบบ Laser Auto Focus
- กล้องเลนส์หลัก Super Sensing Wide Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.9
- กล้องเลนส์ Ultra-Wide Cine Camera ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/1.8
- กล้องเลนส์ Periscope Telephoto Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/3.4 ซูม Optical 5x
- กล้องหน้า Ultra Vision Selfie Camera 2 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้อง 3D Depth Sensing Camera
- แบตเตอรี่ 4400 mAh ชาร์จเร็ว Huawei SuperCharte 66 วัตต์
- รองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย Wireless Huawei SuperCharge 50 วัตต์
- WiFi 2.4 GHz และ 5 GHz 802.11 a/b/g/n/ac/ax, 2×2 MIMO
- มีให้เลือก 2 สี Mystic Silver และ Black
- ราคาเปิดตัว 34,990 บาท