รีวิว iPhone 12 Pro Max สมาร์ทโฟนที่เหล่าสาวก Apple รอคอย ซึ่งก็ถือเป็นธรรมเนียมที่จะมีการเปิดตัวรุ่นใหม่ในช่วงปลายปีของทุกปี แต่สำหรับปีนี้อาจจะช้าสักหน่อย ทำให้การวางจำหน่ายในบ้านเราช้าตามไปด้วย มาดูกันว่าการเปิดตัวรุ่นใหม่ครั้งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง มาแกะกล่องดูกันเลย
รีวิว แกะกล่องลองเล่น iPhone 12 Pro Max
เป็นที่ทราบกันดีว่า iPhone 12 เป็นรุ่นบุกเบิกในการยกเลิกการแถมอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มาให้ในกล่อง โดยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้น้อยลง ซึ่งก็มีหลายๆ แบรนด์เริ่มที่จะทำตามกันแล้ว ทำให้กล่องของ iPhone 12 ทุกรุ่นมีขนาดที่บางลง ช่วยให้ขนส่งได้คราวละมากๆ ช่วยประหยัดพลังงาน และเวลาในการขนส่งด้วย มาแกะกล่องดูกันว่ามีอะไรข้างในบ้าง
- iPhone 12 Pro Max สีกราไฟต์
- สาย Lightning to USB-C
- เอกสาร คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- สติ๊กเกอร์ 1 แผ่น
\
จะเห็นได้ว่าภายในกล่องถูกตัดตั้งอแดปเตอร์ และหูฟังออกไป ซึ่งหากเป็นผู้ใช้ที่เคยใช้ iPhone มาก่อนอาจจะนำสายชาร์จแบบ Lightning และอแดปเตอร์ของรุ่นเก่ามาใช้งานได้ทันที แต่หากต้องการใช้งานสาย Lightning ที่แถมมาให้ในกล่องอาจจะต้องซื้ออแดปเตอร์เพิ่ม เพราะอีกด้านเป็นช่องเสียแบบ USB-C ซึ่งรุ่นเก่าจะยังคงเป็น USB-A ซึ่งอแดปเตอร์แบบ USB-C ของ Apple มีจำหน่ายในราคา 690 บาท และยังสามารถชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟ 20 วัตต์ หรืออาจจะหาอแดปเตอร์แบรนด์อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน แต่แนะนำให้ใช้รุ่นที่มีมาตรฐาน MFI (Made for iPhone) รองรับด้วย เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
ดีไซน์ใหม่ พร้อมกระจกกันรอย Ceramic Shield
ด้วยดีไซน์ใหม่เกือบทั้งหมดจากที่ขอบตัวเครื่องโค้งมนรับกับตัวอุ้งมือกลับมาเป็นเหลี่ยม ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจหลายๆ คน แต่ดีไซน์เหลี่ยมแบบนี้ก็ทำให้จับได้ถนัดมือเช่นกัน และขอบด้านข้างของรุ่นนี้ยังใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีลเคลือบเงาสีเดียวกับตัวเครื่อง อย่างรุ่นนี้เป็นสีกราไฟต์ ขอบด้านข้างก็เป็นสีดำเงาดูสวยงามมาก แต่ก็เลอะลายนิ้วมือได้ง่ายเช่นกัน ส่วนด้านหลังใช้วัสดุเป็นกระจกด้าน จะมีเพียงโลโก้ Apple เท่านั้นที่เป็นกระจกเงา ทางที่ดีควรใส่เคสเพื่อช่วยป้องกันรอยจะดีกว่า
กระจกหน้าจอด้านหน้าเป็นกระจกแบบ Ceramic Shield ซึ่งเป็นกระจกแบบกันรอยแบบใหม่ที่ทาง Apple นำมาใช้กับ iPhone 12 เป็นรุ่นแรก ด้านบนหน้าจอยังมีรอยบาก ซึ่งเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงเซ็นเซอร์ FaceID ที่ใช้ปลดล็อคการใช้งานด้วย
สำหรับจอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในซีรี่ย์ iPhone 12 นั่นก็คือ 6.7 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ Super Retina XDR ความละเอียดถึง 1284 x 2778 พิกเซล ดีไซน์มุมของหน้าจอเป็นแบบโค้งมนรับกับขอบของตัวเครื่อง
ด้านหลังมีเลนส์กล้องดิจิตอลมาให้ 3 เลนส์ดีไซน์เหมือนกับรุ่นก่อน แต่เพิ่มเติมเซ็นเซอร์ LiDAR เข้ามา ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
ด้านข้างซ้ายมีสวิตซ์ปรับเปิดปิดระบบสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงสนทนา ส่วนด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดเครื่อง ซึ่งหากต้องการปิดเครื่องต้องกดปุ่มนี้ พร้อมกับปุ่มปรับเสียงขึ้นพร้อมกันจึงจะปิดเครื่องได้
สำหรับด้านบนไม่มีปุ่มกดใดๆ ส่วนด้านล่างมีช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา พอร์ต Lightning และลำโพงของตัวเครื่อง
รองรับ 5G และการเชื่อมต่อที่ครบครัน
ถือเป็นรุ่นแรกของ iPhone ที่รองรับเครือข่าย 5G โดยเครื่องที่วางจำหน่ายในไทยรองรับคลื่นมากถึง 18 ความถี่ (ย่านความถี่ n1, n2, n3, n5, n7, n8, n12, n20, n25, n28, n38, n40, n41, n66, n71, n77, n78, n79) แน่นอนว่าสามารถใช้งานในบ้านเราได้ครบทุกคลื่นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีโหมด Smart data ที่จะช่วยสลับการใช้งาน 4G และ 5G ให้โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดพลังงาน
สำหรับการใช้งานหากอยู่ในพื้นที่เครือข่าย 5G ระบบจะทำการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ สังเกตได้จากสัญลักษณ์ 5G ที่ปรากฎอยู่ข้างแถบแสดงความแรงของสัญญาณ ซึ่งจากการทดสอบความเร็วในการเชื่อมต่อสามารถทำได้ถึง 407 Mbps เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ความเร็วที่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ใช้งาน และจำนวนผู้ใช้งานในบริเวณนั้นด้วย
ชิพเซ็ตใหม่ A14 Bionic เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น
iPhone 12 ที่เปิดตัวใหม่ทุกรุ่นใช้ชิพเซ็ต A14 Bionic ซึ่งเป็นชิพเซ็ตรุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร ช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน และลดความร้อน แน่นอนว่ามีความเร็วเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนด้วย มีแกนประมวลผลทั้งหมด 6 Cores โดยแบ่ง 2 Cores ทำงานแบบประหยัดพลังงาน และอีก 4 Cores ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล และยังมีหน่วยประมวลผล GPU อีก 4 Cores ช่วยในการประมวลผลภาพกราฟฟิค โดยเฉพาะในการเล่นเกม ในด้านการทำงานของ AI ก็มี Neural Engine มาให้ถึง 16 Cores ช่วยในเรื่องของการเรียนรู้ระบบทำงานได้เร็วถึง 80%
หน่วยความจำภายในของ iPhone 12 Pro Max มีให้เลือกตั้งแต่ 128 GB, 256 GB และ 512 GB ถ่ายภาพ และวิดีโอบ่อยๆ อาจจะต้องเลือกรุ่นที่มีความจุสูงๆ เอาไว้ก่อน หากใช้งานทั่วๆ ไป ความจุ 128 GB ก็น่าจะเพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังมีบริการ iCloud ให้เราได้ใช้งาน สามารถเลือกเพิ่มพื้นที่หน่วยความจำได้ตามต้องการ พร้อมกับค่าบริการรายเดือนได้ด้วย
ในการทดสอบประสิทธิภาพความเร็วของหน่วยประมวลผล Apple A14 Bonic โดยการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ผลปรากฎว่า Single-Core ทำคะแนนได้ 1599 คะแนน และ Multi-Core ทำคะแนนได้ 4125 คะแนน และสำหรับแอพฯ Antutu Benchmark ทำความเร็วได้ถึง 619,768 คะแนนเลยทีเดียว ถือว่าทำควาเร็วได้สูงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ
การถ่ายภาพระดับโปรด้วยกล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อม LiDAR เซ็นเซอร์
ถึงแม้ว่าดีไซน์กล้องหลัง 3 เลนส์จะยังคงดีไซน์แบบเดิม สำหรับการถ่ายภาพก็ยังได้รับการอัพเกรดทั้งเซ็นเซอร์ และระบบ AI ที่ทำงานผ่านหน่วยประมวลผล A14 Bionic ทำให้การถ่ายภาพได้สมจริงสวยงาม ประมวลผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และในเฉพาะ iPhone 12 Pro Max ได้มีการเพิ่ม LiDAR สแกนเนอร์ที่จะช่วยวัดระยะวัตถุได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเซ็นเซอร์นี้เคยอยู่ใน iPad Pro มาก่อน แต่ถูกย่อและนำมาใช้กับรุ่นนี้ได้โดยไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้งานกับระบบ AR ทำให้การแสดงภาพเสมือนจริงทำได้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
สำหรับกล้องหลังทั้ง 3 เลนส์นั้น จำง่ายๆ คือมีความละเอียดเท่ากันทั้งหมดคือ 12 ล้านพิกเซล โดยรายละเอียดของแต่ละเลนส์มีดังนี้
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.6
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
- กล้องเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 ออฟติคอลซูม 2.5 เท่า
สิ่งที่ทำให้ iPhone 12 Pro Max ถ่ายภาพได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ คือ LiDAR Scanner ซึ่งจะช่วยให้การโฟกัสภาพทำได้รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในที่แสงน้อย หรือในที่มืด อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ และรูรับแสงที่กว้างถึง f/1.6 นอกจากนี้ยังช่วยให้การถ่ายภาพ Portrait คมชัดขึ้น ฉากหลังเบลอดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Deep Fusion ยังทำได้ดีขึ้นด้วยระบบ Neural Engine ที่เข้ามาช่วยประมวลผลให้รายละเอียดของภาพชัดเจนขึ้น และยังช่วยลด Noise ที่เกิดขึ้นในภาพได้อีกด้วย
จากการทดสอบถ่ายภาพพบว่า iPhone 12 Pro Max สามารถถ่ายได้สวยงามทั้งในที่มืด และแสงจ้า ซึ่งหากถ่ายภาพในที่มืดกล้องก็ยังสามารถเก็บรายละเอียดแสงได้สว่างชัดเจน และในที่สว่าง หรือแสงจ้า ระบบ HDR ก็ยังทำหน้าที่เกลี่ยแสงทั้งในที่สว่าง และที่มืด ทำให้เห็นภาพได้ทุกรายละเอียด ไม่มืด และไม่สว่างจ้าจนเกินไป ดังตัวอย่างภาพ
และในรุ่น iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max เมื่ออัพเดทเป็นเวอร์ชั่น 14.3 จะสามารถถ่ายภาพภาพแบบ Apple ProRAW ซึ่งเป็นไฟล์แบบพิเศษที่ปกติจะใช้ในกล้อง DSLR โดยตัวไฟล์จะทำการเก็ฐทุกสภาพแสง ผสานการทำงานด้วย Deep Fusion และ HDR โดยไฟล์ที่ได้อาจจะมีขนาดใหญ่ สามารถแต่งภาพโดยการปรับแสงเฉพาะจุดบนรูปภาพได้ จะแต่งบนหน้าจอ iPhone หรือใช้แอพฯ แต่งภาพอื่นๆ ที่รองรับก็ได้เช่นกัน
สำหรับการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60 เฟรมต่อวินาที ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง หรือจะเลือกถ่ายได้ที่ความละเอียด 1080p, 720p เพื่อให้ประหยัดพื้นที่หน่วยความจำ และที่เหนือกว่ากล้องถ่ายวิดีโอบนสมาร์ทโฟนทั่วไปคือการถ่ายวิดีโอด้วยระบบ Dolby Vision ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวที่ถ่ายได้ โดยกล้องสามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าเดิมถึง 60 เท่า และเก็บรายละเอียดสีได้สูงถึง 700 ล้านสีเลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
MagSafe มิติใหม่ของการชาร์จแบตแบบไร้สาย
เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า MagSafe ที่ใช้ใน Macbook มาก่อน แต่สำหรับ iPhone 12 แล้ว MagSafe ถูกนำมาใช้อีกครั้งกับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายของ iPhone ซึ่งโดยปกติแล้วระบบชาร์จแบบไร้สายจะเป็นเพียงการวางสมาร์ทโฟนบนแท่นชาร์จ ซึ่งอาจจะชาร์จได้บ้าง ไม่ได้บ้างเนื่องจากวางตรงตำแหน่ง หรือหากวางตรงตำแหน่งแล้วก็อาจจะเลื่อนหลุดได้
MagSafe จึงถูกนำมาใช้กับระบบชาร์จไร้สายของรุ่นนี้ โดยจะมีแม่เหล็กคอยยึดติดกับแท่นชาร์จ ทำให้ชาร์จได้ตรงตำแหน่ง ไม่เลื่อนหลุดได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างเช่นเคส ซองเก็บบัตรที่สามารถนำมาแตะที่หลัง iPhone 12 ก็จะยึดติดด้วยแม่เหล็กทันที
สำหรับการชาร์จด้วยสายภายในกล่องก็มีสาย USB-C to Lightning มาให้อยู่แล้ว ขาดเพียงแต่อแดปเตอร์แบบ USB-C ซึ่งก็มีจำหน่ายแยก 690 บาท หรือจะใช้อแดปเตอร์แบรนด์อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟ 20 วัตต์
บทสรุป รีวิว iPhone 12 Pro Max จากความเห็นของ What Phone
หลังจากใช้งานมาพักใหญ่ๆ สิ่งที่เราประทับใจตั้งแต่แรกสัมผัสคือดีไซน์ของตัวเครื่อง ถึงแม้ว่าจะมาในแนวเหลี่ยมขอบแบน แต่ก็ไม่ได้ทำให้การใช้งานต่างจากเดิมมากนัก จับถือถนัดมากขึ้น ไม่รู้สึกบาดมือแต่อย่างใด ในด้านการใช้งานก็ทำได้ลื่นไหล จะดูหนัง เล่นเกมก็ทำได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด กล้องถ่ายภาพที่มีมาให้ก็ถือว่าพัฒนาให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะการโฟกัสภาพที่มี LiDAR Scanner ที่ช่วยวัดระยะได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของ AR ให้สมจริงมากขึ้น ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่องอาจจะมีติดขัดบ้างสำหรับผู้ใช้งานที่ยังไม่มีอุปกรณ์เสริมอย่างอแดปเตอร์ USB-C และหูฟัง ซึ่งอาจจะต้องซื้อเพิ่ม หรือถ้าหากมีของรุ่นเก่าอยู่แล้วก็สามารถนำมาใช้งานได้ สำหรับราคาเปิดตัวอาจจะสูงไปสักหน่อย แต่หากชื่นชอบในแบรนด์ Apple และความพรีเมี่ยมของ iPhone แน่นอนว่าราคาระดับนี้ถือว่าตอบโจทย์ทั้งในด้านของดีไซน์ และประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่เป็นรองใคร