ก่อนหน้านี้ ทีมงาน Whatphone เราได้รีวิวสมาร์ทโฟนตัว Z11 Max ไปซึ่งเป็นตัวเน้นหน้าจอขนาดใหญ่และแบตเตอรี่ความจุเยอะ ครั้งนี้มีโอกาสได้เครื่องตัว Nubia Z11 มาในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่ถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุดของ Nubia ในปี 2016 ที่ผ่านมา มีความน่าสนใจตั้งแต่การออกแบบตัวเครื่องที่เรียบหรูดูดี สเปคภายในที่แรงสุดๆ และที่ชวนให้ตะลึงก็คือราคาขายในไทย ที่ต้องบอกว่า Nubia Z11 เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิป เซต Snapdragon 820 แต่ว่าขายในราคาแค่ 14,990 บาทเท่านั้น!!
แรกสัมผัส Nubia Z11
เริ่มตั้งแต่ตัวแพ็คเกจของ Nubia Z11 ที่จะเป็นกล่องสีดำเปิดออกมาจะพบกับตัวเครื่องก่อนเป็นอันดับแรก ที่ด้านในจะมีอุปกรณ์เสริมที่ให้มาครบเซ็ตสุดในบรรดาทุกรุ่นของ Nubia ที่เข้ามาขายในไทย โดยจะมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น (มีเข็มจิ้มถาดซิมแปะมาอยู่ในเล่ม), หัวแปลงพอร์ต USB-C ให้เป็น Micro USB, สาย USB-C, อแดปเตอร์ชาร์จไฟที่รองรับมาตรฐานชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0 และชุดหูฟังพร้อมสมอล์ลทอล์คในตัว บรรจุในกล่องสวยงามแถมาให้ในชุด
มาดูกันที่ตัวเครื่องกันเลย วัสดุที่ใช้ตัวเฟรมเครื่องเป็นโลหะส่วนฝาหลังเป็นอลูมิเนียมขัด ตัวงานประกอบทำได้ดีสวยงามปราณีต จุดเด่นที่เตะตาที่สุดก็คือด้านหน้าที่เป็นหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว FHD 1920 x 1080 พิกเซล ที่ออกแบบมาให้ไร้ขอบด้านข้าง หรือที่เรียกกันว่า Bezel-less ที่ตัวขอบด้านข้างซ้ายขวาของจอจะชิดกับเฟรมของเครื่อง เวลามองด้านหน้าคือจะเห็นจอแบบเต็มๆ ตาและทำให้ตัวเครื่องมีขนาดความกว้างที่น้อยลงจนสามารถถือใช้งานด้วยมือเดียวได้สบายๆ
หน้าจอจะมีกระจก Gorilla Glass ป้องกันการขีดข่วนครอบพร้อมขอบเป็นแบบมน 2.5D มีเลนส์กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ช่องลำโพงสนทนาและเซนเซอร์แสงที่ด้านบนของจอ ส่วนด้านล่างจอมีปุ่ม Home แบบสัมผัส ออกแบบเป็นวงกลมสีแดงที่สามารถส่องสว่างเป็นไฟแจ้งเตือน Notification ได้ด้วย
ถาดซิมของ Nubia Z11 จะเป็นแบบ Hybrid ที่เลือกใช้งานได้ว่าจะใส่เป็น 2 ซิม (ขนาด NanoSIM) หรือจะเป็นใส่ 1 ซิมพร้อมการ์ด microSD เพื่อเพิ่มความจุภายในเครื่อง รองรับได้สูงสุด 200 GB ส่วนทางด้านขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง (หน้าจอ) อยู่
ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรและไมค์ตัดเสียงรบกวนการสนทนา และอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือมีตัวส่งสัญญาณอินฟราเรดมาให้ด้วย ส่วนด้านล่างเครื่องจะเป็นช่องของไมโครโฟนสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C และช่องลำโพง
ส่วนด้านหลังเครื่อง ตัวเลนส์กล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซลที่เนียนเรียบไปกับตัวเครื่อง ไม่นูนขึ้นมาเหมือนกับใน Z11 Max มีแฟลช LED แบบ dual-tone ตรงกลางจะมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และที่ด้านล่างจะมีโลโก้ของ Nubia อยู่ด้วย
ดูแล้วตัวเครื่องถือว่าออกแบบมาได้สวยงามทั้งตัววัสดุที่เลือกใช้และการประกอบที่สวยงามปราณีต ขอบมุมต่างๆ มีความโค้งมนจับถนัดมือ หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วแต่ดีไซน์เป็นแบบไร้ขอบข้างทำให้เครื่องมีความกว้างน้อยลงเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนเจ้าอื่นที่มีขนาดเท่าๆ กัน ด้วยมิติตัวเครื่องขนาด 151.8 x 72.3 มิลลิเมตอร หนา 7.5 มม และหนัก 162กรัม ทำให้เวลาถือใช้ด้วยมือข้างเดียวยังทำได้สบายๆ
ทดสอบประสิทธิภาพ
อีกจุดเด่นที่หลายๆ คนสนใจกับเจ้า Z11 ตัวนี้ก็คือชิปเซตที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 820 (MSM8996) และตัวชิปประมวลผลกราฟฟิคเป็น Adreno 530 เครื่องที่ทีมงาน Whatphone ได้มาทดสอบนี้เป็นรุ่นหน่วยความจำ 64GB และ RAM 4GB (จะมีรุ่น Black Gold Edition ที่ให้ RAM มา 6GB) คะแนนที่ได้จากการทดสอบผ่าน Antutu อยู่ที่ 129345 ถือว่าทำได้ดีเกาะอยู่ในกลุ่มหัวตารางที่ส่วนใหญ่คะแนนจะเกิน 130,000
การใช้งานทั่วไป Z11 นั้นใช้ระบบปฎิบัติการเป็น Android 6.0 ครอบทับด้วย Nubia UI 4.0 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย โดยระบบจะไม่มี app drawer ตัวแอพทั้งหมดจะมากองอยู่ในหน้า Home ทั้งหมด ตัวปุ่มควบคุมเมนูจะอยู่ด้านล่างของจอ ที่แบ่งเป็น 3 ปุ่มคือ ปุ่ม Menu, Home และ Back สำหรับคำสั่งกดเลือก Recent app จะใช้วิธีกดปุ่ม Back ค้างไว้ 2 วินาที
ความคล่องตัวและรวดเร็วของการใช้งานต่างๆ ทั่วไป ตอบสนองได้รวดเร็วไม่มีอาการหน่วงหรือช้าให้เห็น ในการใช้งานตอนเปิดเครื่อง RAM ในเครื่องจะมีเหลือประมาณ 1.3 GB ที่เพียงพอเหลือเฟือในการใช้งานต่างๆ มาถึงเรื่องของการเล่นเกมนั้นบอกเลยว่าหายห่วง ด้วยประสิทธิภาพของชิปเซต รองรับเกมกราฟฟิค 3D ได้สบาย (แต่เล่นเกมหนักๆ ก็แอบรู้สึกถึงความร้อนของเครื่องอยู่บ้าง)
ระบบเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือทำงานสแกนได้แม่นยำและรวดเร็ว สามารถจดจำได้ 5 ลายนิ้วมือ (แต่เอาจริงๆ เวลาใช้งานก็ใช้แค่นิ้วชี้เป็นหลักเพราะอยู่ด้านหลังเครื่อง)
เรื่องของเสียงเป็นชิปเซ็ต AKM4376 ที่มี Smart PA Dolby Surround 7.1, Hi-Fi, Dolby Decoding อีกทั้งยังมีระบบ Dolby Atmos เพื่อเลือกปรับโปรไฟล์เสียงตามรูปแบบการใช้งาน ได้ทั้งโหมดของดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม ฯลฯ คุณภาพเสียงที่ได้จากการฟังผ่านหูฟังแบบ 3.5 มม. ถือว่าดีมาก รวมถึงตัวหูฟังที่แถมมาให้ในกล่องเองก็ถือว่าคุณภาพเสียงดีทีเดียวเลยล่ะ
มาต่อกันที่เรื่องการใช้พลังงานและแบตเตอรี่ ในตัวเครื่องให้มาที่ 3,000 mAh ที่ถือว่าเป็นปริมาณปกติสำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ในการใช้งานปกติทั่วไปถือว่าใช้งานได้ต่อเนื่องดีพอสมควร คือถ้าใช้งานแค่ปกติรับสายโทรออก ตอบแชท เล่นโซเชียล เข้าเนต อันนี้อยู่แบบเช้ายันเย็นได้สบายไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีเล่นเกม, ดูหนัง หรือว่าใช้งานกล้องเพื่อถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ ตัวเครื่องจะใช้พลังงานค่อนข้างมาก ถึงอย่างไร Nubia เองก็มีระบบจัดการพลังงาน NeoPower สำหรับเลือกปรับประสิทธิภาพของเครื่องให้ใช้พลังงานมากน้อยตามการใช้งานได้ รวมถึงการที่มีระบบชาร์จไวของ Qualcomm Quick Charge 3.0 ที่ชาร์จไฟได้เร็วมากๆ โดยที่แบต 3,000 mAh สามารถชาร์จจนเต็มได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าชดเชยช่วยเหลือในเวลาที่ใช้งานเยอะๆ ก็เอาเสียบชาร์จไว้สัก 15-30 นาทีก็จะได้พลังงานกลับมาเติมถึง 20-40% กันเลย
การถ่ายภาพ
กล้องหลังใช้เซนเซอร์ Sony IMX298 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ที่มีระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพแบบ OIS เพิ่มด้วย EIS และ HIS และยังมี PDAF (Phase Detection Autofocus) ช่วยในการจับโฟกัสของภาพได้รวดเร็ว ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียดที่ 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์เป็นมุมมองกว้าง 80 องศา ถ้าเทียบกับ Z11 Max แล้วถือว่าความละเอียดเท่ากันแต่เทคโนโลยีในการบันทึกภาพใน Z11 จะดีกว่า ส่วนโหมดการถ่ายภาพนั้นก็มีใส่มาให้เลือกใช้ได้มากมาย
- Photo ในการถ่ายภาพในโหมดออโต้ มีเลือกปรับค่าในส่วน HDR ในการถ่ายภาพย้อนแสง, ตรวจจับใบหน้า ส่วนเวลาถ่ายด้วยกล้องหน้าเซลฟี่ ปรับระดับ Pretty โหมดให้หน้าสวยได้ 10 ระดับ พร้อมโหมดจับรอยยิ้ม และสั่งยิงแฟลชด้วยการส่องสว่างของหน้าจอได้
- Time-Lapse ถ่ายวิดีโอแบบภาพเคลื่อนไหวรวดเร็ว
- Slo-mo ถ่ายวิดีโอแบบเคลื่อนไหวช้า สามารถปรับให้ช่วงหัวท้ายของคลิปเป็นสปีดปกติได้ตามต้องการ
- Pano ถ่ายภาพพาโนรามาแบบมุมกว้าง ด้วยการกวาดเลื่อนมุมกล้องไปทางซ้ายหรือขวา เก็บภาพในมุมกว้างสุดที่ 180 องศา
- Video ถ่ายภาพวิดีโอได้ทั้งแบบความละเอียด 1080p (60fps) และเลือกได้สูงสุดถึง 4K ส่วนกล้องหน้าถ่ายวิดีโอความละเอียดได้สูงสุด 1080p (30fps)
- Pro สำหรับถ่ายภาพแบบเลือกปรับค่าในการถ่ายได้เหมือนกับกล้องโปร ทั้งค่าความเร็วชัตเตอร์, White balance, ISO และโฟกัส
- Camera Family โหมดนี้จะรวมเมนูการถ่ายภาพแบบสำเร็จรูปให้เลือกใช้เพิ่มอีก 10 อย่างด้วยกัน
- Multi Exposure ถ่ายภาพแบบ 2 ภาพเอามาซ้อนกัน
- Light Painting ถ่ายภาพวาดแสงไฟเป็นเส้น แนะนำว่าต้องถ่ายในสภาพแสงที่มืดมากๆ และต้องใช้ขาตั้งกล้อง
- Electronic Aperture ปรับจำลองค่ารูรับแสงให้แคบได้สูงสุดถึง f/44 เพื่อใช้ถ่ายในเวลากลางคืน
- Slow Shutter ปรับการถ่ายภาพคล้ายโหมดโปร แต่จะตั้งเวลาเปิดชัตเตอร์ได้นานสูงสุดถึง 21 นาที
- Star Trail ใช้ตั้งกับขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนไหวเป็นเส้น
- Video Maker ถ่ายวิดีโอด้วยการถ่ายเป็นภาพทีละเฟรมๆ ให้ได้วิดีโอที่เคลื่อนไหวคล้าย stop-motion
- Trajectory ถ่ายภาพเก็บภาพเคลื่อนไหว ซ้อนกัน 3 เฟรม
- DNG โหมดถ่ายภาพในโหมด Pro ที่จะบันทึกภาพแบบ RAW แบบสกุล .dng
- Clone ตั้งกล้องถ่ายภาพแล้วขยับวัตถุในภาพ เพื่อซ้อนวัตถุเพิ่มเข้าไปในฉากเดียวกัน
- Macro ถ่ายภาพซูมวัตถุขนาดเล็กระยะใกล้ จะมีส่วนของแว่นขยายบอกระยะโฟกัสของภาพให้ด้วย
การใช้งานกล้องถ่ายภาพของ Nubia Z11 ในการใช้งานถือว่าค่อนข้างดี ทั้งเรื่องประสิทธิภาพของกล้องและซอฟท์แวร์ในการถ่ายภาพ มีโหมดการถ่ายให้เลือกใช้มาก การบันทึกไฟล์หลังจากถ่ายก็ทำได้รวดเร็ว (ยกเว้น HDR ที่ถ่ายแล้วต้องรอประมวลผลประมาณ 1-2 วินาที) กล้องหน้าเซลฟี่โหมด Pretty ปรับหน้าให้สวยขึ้นแบบไม่หลอนหลอกตา เลือกใช้แค่ระดับ 3-5 ก็โอเคสวยแจ่มแล้ว แต่ยังพบปัญหากวนใจอยู่บ้างเรื่องการถ่ายภาพในที่มืดและแสงน้อย ที่ภาพยังมี noise ปรากฎอยู่พอสมควร (โดยเฉพาะกล้องหน้า) และการโฟกัสในที่มืดก็ทำได้ค่อนข้างช้า
ตัวอย่างภาพถ่าย
ลูกเล่นพิเศษที่น่าสนใจใน Nubia Z11
ใน Z11 นอกจากประสิทธิภาพเครื่องจะแรงแล้ว Nubia ยังมีใส่ฟีเจอร์การใช้งานหลายอย่างมาให้ด้วยอีกหลายอย่าง
- Remote Control ด้วยความที่มีตัวส่งสัญญาณอินฟราเรดมาด้วย ในเครื่องก็มีใส่แอพรีโมทคอนโทรลที่เอาไว้ใช้งานควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ทั้งทีวี, กล่อง Set-Top box, เครื่องเสียง, DVD, โปรเจคเตอร์, เครื่องปรับอากาศ ที่เลือกจาก profile หรือจะสั่งก็อปปี้รีโมทที่บ้านเราตั้งใหม่เองก็ได้
- Super Screenshot โหมดจับภาพหน้าจอที่เลือกได้ทั้งจับภาพแบบต่อเนื่องยาวๆ, เลือกจับภาพเป็นรูปทรงต่างๆ หรือจะบันทึกเป็นวิดีโอก็ได้ การเรียกใช้งานทำได้โดยกดปุ่มลดเสียง+Power ค้างไว้ 3 วินาที หรือเอานิ้วแตะที่เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังก็ได้
- Fingerprint Scan ตัวสแกนลายนิ้วมือนั้นไม่ได้ใช้เอาไว้แค่ปลดล็อคเครื่องเท่านั้น ยังปรับตั้งค่าใช้งานได้หลายอย่าง เช่น, ใช้เป็นชัตเตอร์ในการถ่ายภาพ, ปลดล็อคการเข้าใช้งานแอพที่ต้องการล็อค, จับภาพหน้าจอ หรือจะตั้งให้เวลาที่ปิดเครื่องพอสแกนลายนิ้วมือแล้วปลดล็อคเครื่องเข้าสู่หน้า Home ทันทีเลยก็ได้
- Edge Gestures วิธีสั่งคำสั่งลัดด้วยการแตะที่ขอบหน้าจอที่ไม่เหมือนใคร อย่างเช่นแตะค้างแล้วเลื่อนขึ้นลงเพื่อเปิดแอพที่กำหนดไว้, แตะค้างแล้วเลื่อนเข้าในจอเพื่อย้อนกลับหน้าโฮม หรือแตะ 2 ขอบเลื่อนขึ้นลงเพื่อปรับแสงสว่างของหน้าจอ
- Split Screen แบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วนเพื่อเปิดแอพใช้งานได้พร้อมกัน 2 แอพ ที่เลือกปรับขนาดของแอพได้และเลือกใช้ได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน การเรียกใช้งานเพียงแค่ลากนิ้วขึ้นมาจากด้านล่างของจอก็จะแบ่งจอเป็น Home 2 หน้า แล้วเลือกเปิดแอพใช้งานได้เลย
สรุป
ถ้าให้เทียบกับ Z11 Max ตัวก่อนหน้านี้ที่เราได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ ก็ถือว่ามีหลายอย่างที่ใกล้เคียงกันและต่างกันบ้างเล็กน้อย โดยหลักๆ คือเรื่องขนาดหน้าจอและปริมาณของแบตเตอรี่ แต่กับ Nubia Z11 แล้วถือว่าสเปคภายในแรงสมศักดิ์ศรี Snapdragon 820 และ RAM 4GB ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลเป็นอย่างดี รวมถึงมีฟีเจอร์ที่จำเป็นในการใช้งานหลักครบถ้วนหมด และในชุดที่ซื้อก็มีของอุปกรณ์มาให้ครบครัน
และท้ายสุดที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนอยากจะคว้า Nubia Z11 มาเป็นเจ้าของก็คือราคาขาย ที่เปิดจำหน่ายในไทยตัวรุ่นมาตรฐาน (RAM 4GB) กับราคาเพียง 14,990 บาท เรียกได้ว่าถูกมากๆ กับสมาร์ทโฟนสเปคขนาดนี้ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะว่ายังมี Nubia Z11 รุ่น Black Gold Edition ที่ตัวเครื่องเป็นสีดำขอบสีทองดูหรูหรา แล้วภายในยังอัด RAM เพิ่มขึ้นเป็น 6GB แล้วเปิดราคาขายแพงกว่ารุ่น 4GB เพียงแค่ 1,000 บาท ที่ 15,990 บาทเท่านั้น!! (ตั้งราคาขนาดนี้แล้วใครจะซื้อรุ่นธรรมดากันล่ะเนี่ย)
ช่องทางสำหรับสั่งซื้อตอนนี้มีผ่านช่องทางออนไลน์ของ นูเบีย (ประเทศไทย) ได้ที่หน้าเว็บไซต์ store.nubia.com/th โดยมีบริการจัดส่งให้ทั่วประเทศ โดยที่ตอนนี้ Nubia มีศูนย์บริการแบบ Droppoint แล้ว 15 จุดทั่วประเทศและเตรียมขยายช่องทางการจำหน่ายอีกในเร็วๆ นี้ และในวันที่ 9-12 กุมภาพันธ์นี้ ที่งาน Thailand Mobile Expo 2017 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทาง Nubia ก็จะมีไปออกบูธด้วยเช่นกันในส่วนของ Meeting Room 3 (บริเวณทางเดินใหญ่ main froyer) งานนี้ใครอยากจะลองสัมผัสของจริงไปได้เลยที่งานนี้
จุดเด่น
- หน้าจอ 5.5 นิ้วแบบ Bezzel-less ด้านข้างชิดขอบ ดูสวยงามและทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก จับถนัดมือ
- สเปคชิปเซต, RAM และ ROM คุ้มกับราคามาก
- กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพร้อมเมนูกล้องให้เลือกมากมาย
- กล้องหน้ามีโหมด Pretty และแฟลชจากหน้าจอ
- ระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0 และมีอแดปเตอร์ชาร์จที่รองรับมาให้ด้วย
- มีหัวแปลง USB-C เป็น Micro USB แถมมาให้
- สแกนลายนิ้วมือทำงานได้รวดเร็ว
- รองรับแอพรีโมทคอนโทรลผ่านอินฟราเรด
- แถมที่ชาร์จเร็ว และหูฟังมาให้ในชุด
ข้อสังเกต
- ใช้งานหนักๆ แบตเตอรี่ยังแอบหมดค่อนข้างเร็ว
- กล้องหลังถ่ายในสภาพแสงน้อยและที่มืดยังมี noise ปรากฎอยู่