ผ่านไปแล้วกับพรีวิวเครื่องเบาๆ ถึงคราวที่ทีมงานจะมา รีวิว Vivo V17 เรามาแกะกล่องดูข้างในพร้อมกับพรีวิวเครื่องกันเลยดีกว่าครับว่าต่างจากรุ่น Pro อย่างไร
แกะกล่อง รีวิว Vivo V17
เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบอุปกรณ์ต่างๆ พื้นฐานที่จำเป็นมาให้อย่างครบครันจนไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม โดยเฉพาะหน้าจอที่มีฟิล์มกันรอยติดมาให้เรียบร้อย ไม่ต้องติดเองหรือหาร้านติดให้วุ่นวาย ส่วนในกล่องก็มีอุปกรณณ์ต่างๆ ดังนี้
- Vivo V17 สี Admiral blue
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบ Dual Fast Charging 18 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- ชุดหูฟังแบบ In ear พร้อมแจ็คขนาด 3.5 มม.
- เคสใสแบบ TPU ยืดหยุ่นได้
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งาน
ชุดหูฟังของรุ่นนี้มาในแบบดีไซน์ใหม่รุ่นแรก แต่ยังคงเป็นแจ็คขนาด 3.5 มม. ตัวหูฟังเป็นแบบ In ear ช่วยให้การสวมใส่กระชับมากขึ้น ไม่หลุดง่าย อีกทั้งยังช่วยปิดกั้นเสียงรบกวนภายนอกได้ดีในระดับหนึ่งด้วย ส่วนอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟ 18 วัตต์ก็มีขนาดกะทะรัด พกพาสะดวก
จอแสดงผลแบบใหม่ Super AMOLED Ultra O Screen คมชัดเต็มตา
เมื่อแรกสัมผัสถือว่ามีขนาดที่กำลังดี ไม่ใหญ่จนเกินไปพบกว่ากระชับมือมาก สำหรับด้านหน้าใช้หน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด FHD+ จอแสดงผลแบบ Super AMOLED Ultra O Screen ลบเหลี่ยมมุมจอให้ดูโค้งมน ให้สีสันสมจริง และประหยัดพลังงาน สามารถเปิดหน้าจอ Always on เพื่อแสดงนาฬิกา และการแจ้งเตือนต่างๆ ส่วนกล้องดิจิตอลด้านหน้าถูกฝังอยู่ที่มุมบนขวา ซึ่งมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ถือได้ว่าเล็กที่สุดในกลุ่มตอนนี้เลยก็ว่าได้ ดูกลมกลืนไปกับแถบสถานะแจ้งเตือนจนแทบจะไม่สังเกตเห็น นอกจากนี้ยังมีระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจออีกด้วย
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Admiral blue ด้านหลังถูกออกแบบมาให้อยู่ในแนวนอน โดยที่ด้านหลังเป็นสีฟ้า เมื่อสะท้อนแสงก็จะเห็นเป็นสีฟ้า เขียว น้ำเงินสวยงามทุกมุมมองจริงๆ สำหรับกล้องดิจิตอลอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีกล้องดิจิตอลมาให้ถึง 4 เลนส์ และมีไฟแฟลชแบบ LED
ด้านข้างซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมการ์ดและการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ทั้งหมด 3 ช่องแยกอิสระ ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนสล็อตแบบไฮบริด ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดตัวเครื่อง
สำหรับด้านล่างตัวเครื่องมีช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และด้านข้างๆ ก็มีช่องลำโพง ช่องไมโครโฟน และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ส่วนด้านบนมีเพียงช่องไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน
4 กล้อง AI อัจฉริยะ ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล คมชัดทุกระยะ พร้อม Super Night Mode
ด้านหลังของรุ่นนี้มีเลนส์กล้องมาให้ถึง 4 เลนส์ วางตัวอยู่ในกรอบสีดำเป็นรูปตัว L โดยกล้องดิจิตอลหลักมีความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซล f/1.8, เลนส์ Super Wide Angle 8 ล้านพิกเซล f/2.2, เลนส์ Super Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์ Bokeh ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และยังมาพร้อมระบบ AI ที่ช่วยปรับสีสัน ความสว่างให้กับภาพอัตโนมัติตามซีนที่ถ่าย ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ทะเล ภูเขา หรือถ่ายบุคคล ภาพที่ออกมาถือว่าสวยงาม สีสันสดใส ต้องขอบคุณระบบ AI ที่ช่วยปรับสีสันให้สวยงามโดยไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่ม สามารถแชร์ได้ทันที และสำหรับรุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่มีตัวช่วยในการถ่ายภาพอย่าง Super Night Mode ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพในที่มืดทำได้ง่ายยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง เพียงแค่ถือนิ่งๆ ก็ได้ภาพที่คมชัดแล้ว
สำหรับโหมดการถ่ายภาพหลักๆ ก็มีให้เลือกถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซลพร้อมระบบ AI มีโหมด AR Stickers สำหรับถ่ายภาพพร้อมเอฟเฟ็คท์ต่างๆ นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด Portrait, Panorama, SLO-MO, Time-lapse และ Pro ซูมภาพแบบ Optical ได้ 2 เท่า และยังซูมได้ถึง 10 เท่าด้วยระบบดิจิตอล
ในโหมดถ่ายภาพ Portrait ก็ยังมีลูกเล่นให้เลือกอีกไม่ว่าจะเป็น Face Beauty ที่สามารถปรับริ้วรอยบนใบหน้า, สีผิว, ความขาวของสีผิว, ปรับหน้ารูป V Shape, ปรับคาง, ปรับตาโต, ปรับความห่างของตา, ปรับหน้าผาก, ปรับจมูก, ปรับปีกจมูก, ปรับรูปปาก เยอะมาก และยังมีฟีเจอร์ Posture ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยแนะนำการถ่ายภาพในท่าต่างๆ มากถึง 120 แบบ ถ้าคิดท่าถ่ายภาพไม่ออกเปิดโหมดนี้แล้วโพสท่าตามได้เลย นอกจากนี้แล้วยังมีตัวอย่างให้เลือกแบบถ่ายภาพคู่กับเพื่อน กับแฟน หรือถ่ายกันเป็นกลุ่ม คราวนี้ถ่ายภาพได้สนุกขึ้นแน่นอน สุดท้ายกับการถ่ายภาพภาพ Bokeh หน้าชัดหลังเบลอ เลือกปรับค่า F หรือค่ารูรับแสงได้กว้างถึง F/0.95 ไปจนถึง F/16 ซึ่งหากค่ายิ่งน้อยจะยิ่งทำให้พื้นหลังละลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเราเลือกการถ่ายภาพในโหมดนี้สามารถนำภาพที่ถ่ายแล้วมาปรับความเบลอของพื้นหลังจนกว่าจะพอใจ
กล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมาสูงถึง 32 ล้านพิกเซลก็ยังสามารถใช้โหมด AI Beauty ที่สามารถปรับทุกส่วนของใบหน้าอย่างที่กล่าวไปแล้วได้หมดเลย ส่วนการถ่ายคลิปวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K และยังมีโหมด Ultra Steady Video ที่ช่วยลดการสั่นไหวในการถ่ายอีกด้วย
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
เร็ว แรง ด้วยหน่วยประมวลผล Snapdragon 675 พร้อมหน่วยความจำ 256 GB
หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 675 AIE ก็อยู่ในระดับที่เร็ว และแรง รองรับการเล่นเกม 3 มิติสบายๆ เรียกได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็พร้อมรองรับการใช้งานแบบหนักๆ ได้แบบสบายๆ ส่วนระบบปฏิบัติการนั้นใช้แอนดรอยด์เวอร์ชั่น 9 ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.2 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ Vivo และด้วยหน่วยความจำขนาดใหญ่ 256 GB แถมยังเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้อีกเมื่อมีหน่วยความจำเยอะก็สามารถทำอะไรได้มากมายโดยไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเป็นดาวน์โหลดแอพฯ ดาวน์โหลดเกม ดาวน์โหลดภาพยนตร์ ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ก็ทำได้หมดในเครื่องเดียว
จากการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu Benchmark สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 217762 คะแนนเลยทีเดียว ถือว่าทำคะแนนได้ค่อนข้างสูง นอกจากเมื่อทดสอบเล่นเกมด้วย PUBG Mobile พบว่าระบบแนะนำให้ปรับภาพได้ที่ความละเอียดสูงสุด และเกมใหม่ยอดนิยมอย่าง Call of Duty ก็สามารถปรับภาพได้ที่ความละเอียดสูงสุดเช่นกัน
นอกจากนี้ Vivo ยังมีฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้การเล่นเกมลื่นไหลมากขึ้น สนุกมากขึ้นด้วยระบบ Vivo Multi-Turbo ช่วยเพิ่มความเร็ว และประสิทธิภาพในการเล่นเกม และยังมีฟีเจอร์ Ultra Game Mode ที่จะช่วยป้องกันการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนจาก Social network ต่างๆ, การโทรศัพท์ที่จะทำงานเบื้องหลังเกม หรือจะเลือกปฏิเสธทุกสายที่โทรเข้ามาเลยก็ได้เช่นกัน และนอกจากนี้ตัวเครื่องยังดึงทรัพยากรทั้งหมดมาเพื่อประมวลผลเกมโดยเฉพาะ จึงทำให้การเล่นเกมลื่นไหล ไม่สะดุดทั้งภาพ หมดปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนที่จะมาบดบัง และรบกวนสมาธิในการเล่นเกมด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Voice changer ที่สามารถเปลี่ยนเสียงสนทนาในเกมให้เป็นเสียงอื่นๆ ได้อย่างเช่นเสียงเด็ก หรือเสียงหุ่นยนต์ เป็นต้น
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4500 mAh พร้อมระบบ DUAL-ENGINE FAST CHARGING
ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,500 mAh ให้คุณใช้งานได้ยาวนานตลอดวันไม่ว่าจะเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ก็ทำได้แบบไร้กังวล ไม่ต้องพกพาวเวอร์แบงค์ให้เป็นภาระ นอกจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่แล้ว ยังมีระบบชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วที่เรียกว่า Dual-Engine Fast Charging กำลังไฟ 18 วัตต์ ชาร์จได้รวดเร็ว และปลอดภัย เครื่องไม่ร้อน
บทสรุป รีวิว Vivo V17 ในความคิดเห็นของ What Phone
สมาร์ทโฟน Vivo V17 ที่เราได้มาทดสอบระยะเวลาหนึ่ง พบว่าตอบสนองการใช้งานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป การเล่นเกม การถ่ายภาพ และสิ่งที่เราประทับใจเมื่อได้สัมผัสกับ V17 รุ่นนี้เห็นจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะสี Admiral blue ที่ดูแปลกตา สวยงามทุกมุมมอง มีขนาดกำลังพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป หน้าจอที่ทาง Vivo เรียกว่า Super AMOLED Ultra O Screen ที่ให้สีสันสมจริง กล้องหน้าที่ฝังในหน้าจอมีขนาดเล็ก ไม่รบกวนสายตาขณะใช้งาน ส่วนกล้องหลักก็มีความละเอียดสูง ถ่ายภาพได้คมชัด สีสันสมจริงในทุกระยะ แบตเตอรี่ความจุสูงก็ใช้งานได้อย่างยาวนาน พร้อมระบบ Dual fast charging ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วขึ้น ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 11,999 บาท ถือว่าคุ้มค่า กับฟังก์ชั่นที่มีมาให้ครบครันแบบนี้
สรุปสเป็ค
- หน้าจอ Super AMOLED Ultra O Screen ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด FHD+
- มีระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- ตัวเครื่องขนาด 159.01 × 74.17 × 8.54 มิลลิเมตร น้ำหนัก 176 กรัม
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 675 AIE Octa-core
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 610
- หน่วยความจำภายใน : 256 GB, RAM : 8 GB
- กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียดหลัก 32 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง AI Quad Camera
- เลนส์หลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8
- เลนส์ มุมกว้าง Super Wide Angle 120 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.2
- เลนส์ Super Macro Camera ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล f/2.4
- เลนส์ Bokeh 2 ล้านพิกเซล f/2.4
- แบตเตอรี่ขนาด 4,500 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว Dual engine fast charging สายแบบ USB-C
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.2
- มีให้เลือกสองสี คือ สี Admiral blue และ Crystal White
- ราคา 11,999 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
เปรียบเทียบภาพจากกล้องระยะต่างๆ Super Wide Angle, Wide, Zoom 2x, Zoom 5x และ Zoom 10x
ภาพจากกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
เพื่อนๆ สามารถติดตามข่าวสารวงการสมาร์ทโฟนได้ที่ Facebook Fanpage : What Phone dot net