รีวิว Xiaomi Mi 9T Pro สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่จาก Xiaomi ซึ่งก่อนหน้านี้ซีรี่ย์นี้ Mi 9 ถูกวางจำหน่ายมาแล้วหลายรุ่น มาถึงรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่แรงที่สุด ประสิทธิภาพดีที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งยังมีราคาไม่ถึงหมื่นห้าพันบาทด้วย ส่วนประสิทธิภาพ และฟังก์ชั่นการใช้งานจะคุ้มแค่ไหนเรามาดูกัน
แกะกล่อง รีวิว Xiaomi Mi 9T Pro
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องของรุ่นนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมคือมีอุปกรณ์มาให้แบบเพียงพอต่อการใช้งาน โดยที่ไม่ได้แถมชุดหูฟังมาให้ ซึ่งก็ต้องซื้อเพิ่มเติม แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะมีราคาจำหน่ายเพียงไม่กี่ร้อยบาท หรือจะใช้ชุดหูฟังที่ใช้งานประจำอยู่แล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบสายที่ใช้แจ็คขนาด 3.5 มม. หรือแบบไร้สาย ซึ่งทาง Xiaomi ก็มีจำหน่ายในราคาไม่ถึงพันบาท แต่สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ ก็มีมาให้ตามนี้
- สมาร์ทโฟน Xiaomi Mi 9T Pro
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 18 วัตต์
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- เคสแบบแข็ง สีดำขุ่น
- คู่มือการใช้งาน
วัสดุและดีไซน์
Mi 9T Pro ยังคงมาในแนวดีไซน์คล้ายกับรุ่นก่อน ด้านหน้าใช้วัสดุเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่สามารถแสดงผลได้เต็มหน้าจอ ไม่มีรอยบาก หรือติ่งใดๆ จากกล้องดิจิตอลที่ฝังบนหน้าจอเหมือนกับรุ่นอื่น จอแสดงผลยังใช้แบบ AMOLED ที่ให้สีสันสวยงาม สมจริง และยังมีฟีเจอร์ Always on display ที่สามารถแสดงนาฬิกา พร้อมภาพกราฟฟิคเล็กๆ ได้ตลอดเวลาโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่น้อยมาก
ด้านหลังดีไซน์สวยงามมีลวดลายที่กระจายออกจากตรงกลางไปยังด้านข้างเป็นสีน้ำเงิน และหากนำไปส่องกับแสงธรรมชาติก็จะยิ่งเห็นลวดลายชัดเจนสวยงามขึ้นมาก บริเวณตรงกลางมีเลนส์กล้องดิจิอตล 3 เลนส์ นั่นก็คือเลนส์ Wide ซึ่งเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra wide และเลนส์ Telephoto มีไฟแฟลชแบบ LED
ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่องล้อมรอบด้วยแถบสีแดงเด่นชัดกว่าใคร ส่วนที่ด้านข้างขวาปล่อยว่างโล่งๆ ไม่มีอะไร
ที่ด้านบนมีมีช่องเสียบชุดหูฟังสมอลล์ทอล์คขนาด 3.5 มม. รองรับชุดหูฟังทั่วไปซึ่งเราได้บอกไปแล้วว่าไม่มีแถมมาให้ในกล่อง นอกจากนี้ยังมีรูเล็กๆ เป็นไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนด้วย
กล้องหน้าแบบ Pop-up ที่จะเปิดใช้งานก็ต่อเมื่อเข้าสู่โหมด Selfie หรือการใช้เป็นระบบสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคหน้าจอ เมื่อกล้องป๊อปอัพขึ้นมาก็จะมีไฟสีน้ำเงินวาบขึ้นมาแล้วดับลงไป ดูเท่มาก บริเวณส่วนบนของกล้องยังมีไฟ Notifications กระพริบเตือนเมื่อมีแอพฯ แจ้งเตือนเข้ามา และหากชาร์จแบตเตอรี่ ไฟตรงนี้ก็จะติดค้างบอกสถานะการชาร์จด้วย นอกจากนี้กระจกด้านหน้าของกล้องยังใช้วัสดุเป็นกระจก Sapphire ที่ทนทานมาก ช่วยป้องกันรอยขีดข่วน
สำหรับด้านล่างช่องใส่ถาดซิมการ์ด ซึ่งเป็นแบบ Dual-SIM แต่ไม่มีช่องสำหรับใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มมาให้ ถัดมาเป็นพอร์ต USB-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟน รองรับการต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติม และถัดมาเป็นช่องลำโพงของตัวเครื่อง
เต็มประสิทธิภาพกับชิพประมวลผล Snapdragon 855
ขึ้นชื่อว่าเรือธงก็ต้องใช้หน่วยประมวลผลที่แรงที่สุดในเวลานี้ นั่นก็คือ Qualcomm Snapdragon 855 สถาปัตยกรรมการผลิต 7 นาโนเมตรที่ช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดความร้อน ส่วนชิพประมวลผลภาพ 3D ใช้ Adreno 640 สำหรับเครื่องที่ได้มาทดสอบมาพร้อมหน่วยความจำ RAM 6 GB และ ROM 128 GB ซึ่งถือว่าเป็นตัวท็อปสุดของรุ่นนี้ที่นำมาจำหน่ายในไทย น่าเสียดายที่ไม่มีรุ่น RAM 8 GB, ROM 256 GB เข้ามาจำหน่าย เพราะรุ่นนี้ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำแบบ microSD ได้ ส่วนระบบปฏิบัติการของรุ่นนี้ก็ใช้ Android เวอร์ชั่น 9 ล่าสุด ครอบทับด้วย MIUI เวอร์ชั่น 10.3.1.0 ที่พึ่งอัพเดทล่าสุดด้วยเช่นกัน
สำหรับประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลสามารถเล่นเกม PUBG Mobile ที่ความละเอียดกราฟฟิคสูงสุด สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่กระตุก และยังมีฟีเจอร์ Game Turbo 2.0 ที่ช่วยรีดประสิทธิภาพ และช่วยกันหน่วยประมวลผล หน่วยความจำมาใช้สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ 8-Layer Graphite-stack และ Bi-directional cooling system ทำให้เล่นเกมได้นานโดยไม่มีความร้อนสะสมที่ตัวเครื่อง ส่วนการวัดความเร็วด้วยแอพฯ Antutu Benchmark 3D ก็สามารถทำคะแนนได้ถึง 364788 เลยทีเดียว ถือว่าทำคะแนนได้ในระดับแนวหน้าของสมาร์ทโฟนเรือธงในตอนนี้
นอกจากนี้ Mi 9T Pro ยังมีชิพเสียงแยกอย่าง Qualcomm® WCD9340 dedicated audio chipset ที่ให้เสียงที่คมชัด แยกมิติได้ดีขึ้น และหากใช้งานร่วมกับชุดหูฟังที่ใช้พอร์ต USB-C ก็จะช่วยส่งสัญญาณเสียง Digital ได้ดีขึ้น ลดสัญญาณรบกวน หรือ Noise ให้น้อยลงได้อีกด้วย
AI Triple Camera and Pop-up Selfie Camera
ด้วยกล้อง 3 เลนส์ที่พร้อมด้วยระบบ AI ที่ช่วยถ่ายภาพได้สวยขึ้น ซึ่งระบบจะช่วยปรับแสง และสีสันของภาพให้ดูสวยงามสมจริง โดยกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.75 ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 มาพร้อมกับกล้อง Ultra wide 13 ล้านพิกเซลที่เก็บภาพได้กว้างถึง 124.8 องศา ซึ่งถือว่ากว้างที่สุดในเวลานี้ และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ช่วยซูมภาพแบบออฟติคอลได้ 2 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด
สำหรับกล้อง 48 ล้านพิกเซลเหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการความละเอียดสูง แต่หากต้องการภาพที่สว่างสวยงามก็สามารถปรับไปถ่ายได้ในโหมดธรรมดา 12 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นการรวม 4 พิกเซลเป็น 1 พิกเซลเพื่อให้รับแสงได้มากขึ้น มีระบบ Laser focus ที่ทำให้การโฟกัสทำได้รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น
กล้องหน้าแบบ Pop-up ความละเอียด 20 ล้านพิกเซลที่มีไฟวาบสีน้ำเงินเมื่อเปิดกล้องขึ้นมา โดยทาง Xiaomi เคลมว่าสามารถใช้งานได้ถึง 300,000 ครั้ง จากการทดสอบเปิด ปิดกล้องติดต่อกันหลายๆ ครั้งจะมีการแจ้งเตือนว่ากล้องถูกเปิดมากเกินไป ต้องรอประมาณ 5 วินาทีจึงจะกลับมาใช้งานได้ปกติ นอกจากนี้ยังมีระบบเซฟตี้ปิดกล้องลงมาโดยอัตโนมัติเมื่อระบบตรวจพบว่ามีการร่วงหล่น ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง
โหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Night, Panorama, Portrait, Pro, Timelapse ส่วนการถ่ายวิดีโอก็ทำได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60 เฟรมต่อวินาที มีโหมด Slow motion ที่สามารถถ่ายได้ 960 เฟรมต่อวินาที สำหรับโหมดการถ่าย Portrait น่าจะถูกใจสาวๆ ที่สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ มีโหมด Beauty ช่วยปรับความเนียนของใบหน้า และยังปรับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปรับตาโต, หน้า V shape, ปรับจมูก, หาก, คาง เท่านั้นยังไม่พอ ยังสามารถปรับสัดส่วนของร่างกายได้อีก ไม่ว่าจะเป็นลำตัว, ขนาดเอว, ปรับขาเรียว, ปรับขนาดของหัว และหัวไหล่ได้อีกด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ
ตัวอย่างภาพจากกล้องบางส่วน
ปลดล็อคด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และใบหน้า
สำหรับใครที่กังวลเรื่องการปลดล็อคด้วยใบหน้าจากกล้องหน้าที่จะต้องป๊อปอัพขึ้นมาสแกนใบหน้าแล้วกลัวว่าจะพังเร็ว โดยทาง Xiaomi เคลมไว้ว่าสามารถป๊อปอัพได้ถึง 300,000 ครั้ง จากการทดสอบใช้เวลาไม่นานในการปลดล็อค ใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที ซึ่งรวมเวลากล้องป๊อปอัพขึ้นมาสแกนแล้วปิดตัวลงไป แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไม่สามารถสแกนได้ในที่มืด แต่หากไม่ชอบก็สามารถเลือกสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้ โดยตัวเครื่องสามารถบันทึกได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ซึ่งการทดสอบปลดล็อคสามารถทำได้แม่นยำประมาณ 90% แต่ก็ต้องรู้ตำแหน่งเพื่อให้ชินกับการสแกนจึงจะทำได้รวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีโหมด Switch สำหรับใช้งาน 2 User เสมือนว่ามี 2 เครื่องรวมอยู่ในเครื่องเดียว สามารถใช้งานได้ 2 แอพฯ 2 แอคเคาท์ได้ทุกแอพฯ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Line และอื่นๆ ได้ทั้งหมด ซึ่งการสลับไปมาระหว่าง 2 User นี้ก็จะต้องอาศัยรหัสผ่าน หรือสแกนลายนิ้วมือช่วยจึงจะสลับไปมาได้
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ พร้อมรองรับการชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ 27 วัตต์
แบตเตอรี่ของรุ่นนี้มีความจุถึง 4,000 mAh ใช้งานได้อย่างยาวนานสำหรับการใช้งานทั่วไป และใช้เล่นเกมได้นานกว่ารุ่นอื่นๆ ภายในกล่องมีอแดปเตอร์กำลังไฟ 18 วัตต์มาให้ แต่ตัวเครื่องสามารถรองรับอแดปเตอร์กำลังไฟได้สูงสุด 27 วัตต์ หากต้องการชาร์จเร็วก็ต้องหาซื้ออแดปเตอร์มาใช้งานเพิ่มเติม แต่อแดปเตอร์ 18 วัตต์เดิมๆ ก็ถือว่าชาร์จได้รวดเร็วแล้ว
บทสรุป รีวิว Xiaomi Mi 9T Pro จากความคิดเห็นของ What Phone
ต้องบอกว่าประทับใจในด้านดีไซน์ ประสิทธิภาพการทำงานมาตั้งแต่ Mi 8 แล้ว มาถึงรุ่นนี้ Mi 9T Pro กับสเป็คที่ใส่มาจนสุดทั้งหน่วยประมวลผล หน้าจอ ระบบสแกนลายนิ้วมือ กล้องดิจิตอลล้วนแต่ใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดแล้ว เพียงแต่รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายยังไม่สุดเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไรเราแนะนำให้ซื้อรุ่น RAM 6 GB, ROM 128 GB ไปเลย เพราะขนาด 64 GB ไม่น่าจะพอสำหรับการใช้งานในยุคนี้ เพราะทั้งแอพพลิเคชั่น เกม ขนาดไฟล์ภาพ และวิดีโอที่มีขนาดใหญ่ทั้งนั้น หากใช้ไปจนหน่วยความจำเต็มจะค่อนข้างอึดอัดกับหน่วยความจำที่เต็มแล้วเต็มอีก แต่ถ้าหากใช้งานทั่วไป เล่นเกมบ้าง ถ่ายรูปบ้าง ขนาด 64 GB ก็น่าจะเพียงพอ เพราะราคาเพียง 13,990 บาท ประหยัดไปได้ 1,000 บาท ส่วนรุ่น 128 GB เปิดจำหน่ายในราคา 14,990 บาท ซึ่งหากเทียบสเป็คกับแบรนด์อื่นแล้วระดับนี้ต้องสองหมื่นบาทขึ้นไปอย่างแน่นอน หากต้องการความคุ้มค่าแล้ว Xiaomi Mi 9T Pro ถือว่าคุ้มที่สุดแล้วในเวลานี้
รีวิว Xiaomi Mi 9T Pro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้จาก Facebook fanpage What Phone.net