Apple iPad Air
หลังจากมีข่าวลือเรื่อง iPad Air สุดบางเบา ออกมาให้เหล่าสาวกได้ฮือฮากันเป็นระยะๆ จนมาถึงตอนนี้สิ่งที่แฟนๆ Apple รอคอยก็เป็นจริงสักที กับ iPad Air ตัวเป็นๆ ที่แรกสัมผัสก็ต้องยอมรับว่าเบา บาง และจับถือใช้งานได้สะดวกกว่าที่เคย ด้วยขอบด้านข้างของหน้าจอที่แคบลง ทำให้ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วของ iPad Air นั้นดูไม่ใหญ่เทอะทะเหมือน iPad รุ่นก่อนๆ แถมน้ำหนักของตัวเครื่องยังลดลงมาเหลือเพียงแค่ประมาณ 4 ขีดครึ่ง นั้นทำให้ถือตัวเครื่องใช้งานได้นานขึ้น โดยที่มวลกล้ามเนื้อแขนไม่ได้ใหญ่ขึ้นแต่ประการใด (ฮ่าๆๆ) และสำหรับรูปร่างหน้าตาก็ไม่มีอะไรให้ชมกันมากมาย เพราะถือว่า Apple ยังคงทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นสาวก หรือผู้ใช้งานทั่วๆ ไปหากได้ลองมาจับ iPad Air เครื่องนี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้สึกดีไปกับผิวสัมผัสของวัสดุตัวเครื่อง และถูกใจในความเรียบร้อยของงานประกอบต่างๆ (ความจริงในใจของผู้ใช้งานแอนดรอยด์คนหนึ่ง ^^”)
นอกจากการออกแบบ และเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ที่ทำให้ iPad Air บางเบาสมชื่อแล้ว ในส่วนของประสิทธิภาพของมันก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ด้วยชิพประมวลผล Apple A7 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมแบบ 64 bit เหมือนกับหน่วยประมวลผลบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนตัวท็อปของค่ายอย่าง iPhone 5s แต่แอบมีข้อแตกต่างเล็กน้อยในเรื่องของความเร็ว โดย CPU ของ iPad Air จะเป็นแบบ Dual-core ซึ่งวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 1.4 GHz ในขณะที่ CPU ของ iPhone 5s ที่เป็นแบบเดียวกันจะวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 1.3 GHz นอกจากนี้ยังขาดไม่ได้กับชิพหน่วยประมวลผลเสริม M7 สำหรับตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งเบาภาระในการประมวลผลเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ CPU ตัวหลัก ทำให้การทำงานโดยรวมของ iPad Air นั้นลื่นไหลด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น แถมยังประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม แม้ความจุแบตเตอรี่จะลดลงด้วยข้อจำกัดของขนาดตัวเครื่อง ซึ่งทาง Apple ได้เคลมเอาไว้ว่าสามารถใช้งานท่องเว็บ และใช้งานมัลติมีเดียต่างๆ ได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง (รุ่น Wi-Fi)
Physical Overview
iPad Air มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 9.7 นิ้ว มีความละเอียด 1536 x 2048 พิกเซล แสดงผลได้ 16.7 ล้านสี กระจกหน้าจอเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ พร้อมเซ็นเซอร์ปรับระดับแสงอัตโนมัติ และกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สำหรับการใช้งาน FaceTime แบบ HD 720p
ถัดลงมาใต้จอจะพบกับปุ่ม Home ซึ่งใช้ในการกดเพื่อย้อนกลับมาสู่หน้า Springboard หรือหน้าเมนูหลักนั่นเอง นอกจากนี้เมื่อกดค้างไว้จะเข้าสู่โหมดสั่งงานด้วยเสียง หรือ Siri และเมื่อเรากดปุ่ม Home 2 ครั้งติดกันก็จะแสดงรายการโปรแกรมที่รันค้างไว้เพื่อให้เราสลับไปใช้งาน หรือปิดโปรแกรมเหล่านั้นได้ทันที
iPad Air ยังคงมีงานประกอบที่ประณีตสวยงาม ทนทานด้วยตัวเครื่องอลูมิเนียมชิ้นเดียว (Unibody) ที่เพิ่มความหรูหราสวยงามด้วยการเจียระไนขอบตัวเครื่องด้วยเพชรเพื่อลบเหลี่ยมมุม (Diamond Cut)
ที่ด้านขวาของ iPad Air จะพบกับปุ่ม Volume สำหรับปรับเพิ่ม/ ลดเสียง ใกล้กันจะเป็นสวิตช์ที่เราสามารถตั้งค่าให้เป็นปุ่ม Mute สำหรับเลื่อนเพื่อเปิด/ ปิดเสียง หรือปุ่มสำหรับล็อค/ ปลดล็อค การหมุนของหน้าจอก็ได้ (สำหรับ iPad Air รุ่น Cellular จะมีช่องใส่ nano SIM อยู่ที่บริเวณมุมขวาล่างของตัวเครื่อง)
ด้านบนของ iPad Air มีปุ่ม Power สำหรับเปิด/ ปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังใช้ในการกดเพื่อเปิด/ ปิดหน้าจอ (Sleep/ Awake) พร้อมช่องไมโครโฟน และช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 ม.ม.
ที่ด้านล่างของ iPad Air เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning สำหรับเสียบสายชาร์จ และสายดาต้าเพื่อโอนถ่ายข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งถูกขนาบข้างด้วยช่องลำโพงซ้าย-ขวา ที่ให้เสียงแบบสเตอริโอ
พลิกมาที่ด้านหลังของ iPad Air จะพบกับกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และช่องไมโครโฟนตัวที่สอง จัดวางอยู่ไม่ไกลกันนัก
iOS 7
เป็นที่แน่นอนว่า iDevice รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPad Air จะต้องมาพร้อมระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดอย่าง iOS7 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าตา UI ทั้งระบบ โดยฝีมือของ Jonathan Ive ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์เจ๋งๆ มากมายให้กับ Apple แต่ในเรื่องของรูปแบบการใช้งานยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของ iOS ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายไม่ซับซ้อน พร้อมเพิ่มเติมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ให้สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Control Center ซึ่งรวมทางลัดสำหรับเปิด-ปิดการเชื่อมต่อต่างๆ และเข้าสู่แอพฯ เครื่องมือที่เราใช้งานบ่อยๆ โดยสามารถเข้าใช้งานได้ง่ายๆ เพียงแค่ตวัดนิ้วจากขอบล่างหน้าจอขึ้นมา, Notification Center ศูนย์รวมทุกการแจ้งเตือน, AirDrop โยนไฟล์ต่างๆ ไปยัง iPhone หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้งาน iOS 7 ได้รวดเร็วด้วย Wi-Fi และ Bluetooth ฯลฯ
5 Mega Pixel iSight Camera
กล้องถ่ายภาพของ iPad Air หรือที่ Apple เรียกว่า iSight นั้นมีความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง iPad 4th Generation แต่ได้มีการปรับปรุงความสามารถในการถ่ายภาพให้สามารถปรับไวท์บาลานซ์ได้แม่นยำ และให้สีสันของภาพที่จัดจ้านขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เรียกได้ว่าคุณภาพของภาพถ่ายจากกล้องของ iPad Air ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ในส่วนของลูกเล่นต่างๆ ที่มีใน iPhone 5s ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพแบบ Panorama, Burst Shot, Live Filter ถ่ายภาพนิ่งขณะบันทึกวิดีโอ และการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่น นั้นไม่ได้ถูกใส่ไว้ใน iPad Air ทั้งนี้ก็เพราะ iPad Air นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ Apple ไม่ได้เน้นการใช้งานด้านถ่ายภาพมากนัก
Connectivity
ในเรื่องของการเชื่อมต่อ iPad Air รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทผ่าน Wi-Fi และ Cellular ส่วนใครที่ต้องการใช้งาน iPad Air แบบพกพาไปไหนมาไหนมาไหนด้วยตลอด เน้นการเชื่อมต่อไร้สายได้ทุกที่ทุกเวลาก็สามารถเลือกซื้อ iPad Air รุ่น Cellular ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน 3G หรือเครือข่าย 4G LTE นอกจากนี้ในส่วนของ Wi-Fi, Bluetooth และตัวรับสัญญาณ GPS ก็ยังคงมีให้ใช้งานอย่างครบครัน
Final Opinion & Conclusion
เชื่อว่า iPad Air ยังคงตอบโจทย์เหล่าสาวก Apple รวมไปถึงผู้ที่ต้องการ Tablet จอใหญ่เอาไว้ใช้งานท่องเว็บ, อ่านอีบุ๊ค รวมไปถึงใช้งานด้านความบันเทิงอื่นๆ ด้วยการพัฒนาในแทบจะทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาด และน้ำหนักที่บางเบาสมชื่อ อีกทั้งวัสดุและงานประกอบที่จัดอยู่ในระดับพรีเมียมตามสไตล์ของ Apple พร้อมกันนั้นทางด้านประสิทธิภาพการใช้งานก็ยังคงลื่นไหลตามมาตรฐาน และคิดว่าเมื่อมีแอพพลิเคชั่นที่เขียนขึ้นมาเพื่อรองรับ CPU 64 bit ออกมาให้ใช้งานกันมากขึ้น น่าจะดึงความสามารถของชิป Apple A7 ออกมาได้เต็มที่กว่านี้
Strength
– หน้าจอ IPS ขนาด 9.7 นิ้ว
– ระบบปฏิบัติการ iOS 7 รุ่นล่าสุด
– ขอบหน้าจอแคบลง ตัวเครื่องบางเบาไม่ใหญ่เทอะทะ
– ลำโพงสเตอริโอ
– CPU 64 bit แบบ Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz
– มีหน่วยความจำภายในให้เลือกสูงสุด 128 GB
– กล้อง iSight 5 ล้านพิกเซลระบบออโต้โฟกัส, ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080p
– กล้องหน้า FaceTime HD, ถ่ายวิดีโอ HD 720p
– ดาวน์โหลดแอพฯ iPhoto, iMovie, Pages, Keynote และ Numbers มาใช้งานได้ฟรี
Weakness
– ตัดฟีเจอร์ของการถ่ายภาพออกไปมากพอสมควร
– ไม่มีแฟลช LED
– ในรุ่น Wi-Fi ถูกตัด GPS ออกไป
รูปตัวเครื่อง Apple iPad Air
รูปหน้าจอ Apple iPad Air