ถึงข่าวคราวของเอซุสจะเงียบหายไปนานจนหลายคนชักคิดถึง ซึ่งคราวนี้เราก็มีอัพเดตของ ASUS Zenfone Max Pro (M1) ที่อาจจะชวนงงว่าทำไมชื่อรุ่นยาวและดูแปลก แต่รุ่นนี้มีความโดดเด่นบนดีไซน์เรียบง่าย ที่ใช้งานแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสมาร์ทโฟนจากเอซุสรุ่นนี้
ASUS Zenfone Max Pro (M1) Review
ASUS Zenfone Max Pro (M1) สมาร์ทโฟนที่เปิดตัวตามหลัง Zenfone 5Z สมาร์ทโฟนจอ Notch รุ่นเรือธงไปแบบหมาดๆ เพียงแต่ว่ารุ่นนี้อาจไม่ใช่รุ่นใหญ่ระดับสูง แต่น่าจับตามองในฐานะของสมาร์ทโฟนราคาไม่เกินหมื่นที่มีให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อยด้วยกัน ซึ่งรุ่นนี้มีดีไซน์เรียบง่ายตามแบบฉบับเอซุส แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าหน้าจอเป็นแบบอัตราส่วน 18:9 ที่มีลักษณะยาวเป็นพิเศษ
Physical Overview
FHD+ Full View Display
ในส่วนของหน้าจอแสดงผล รุ่นนี้ไม่พลาดที่จะเปลี่ยนมาใช้หน้าจออัตราส่วน 18:9 หรือที่เรียกกันว่า Full View Display ความละเอียด FHD+ 1080 x 2160 พิกเซล ส่วน User Interface ของรุ่นนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะนำหน้าตาเมนูการใช้งานของ Pure Android เข้ามาประกอบแทน แต่จากการใช้งานที่สัมผัสได้ก็ถือว่ารวดเร็วดีทีเดียว
Performance
Zenfone Max Pro (M1) นำชิพเซตอย่าง Snapdragon 636 Octa-core 1.8 GHz มาใช้ร่วมกับ RAM 3GB และ ROM ภายในเครื่อง 32GB ในรุ่นของเครื่องทดสอบ ซึ่งรุ่นนี้ยังมีเวอร์ชั่น RAM 4/6GB และ ROM 64GB ให้เลือกเช่นกัน และทุกรุ่นยังสามารถเพิ่ม microSD ได้สูงสุดถึง 256GB เลยทีเดียว ส่วนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นนี้เป็นเวอร์ชั่น 8.1 (โอรีโอ) โดยชุดประมวลผลทั้งหมดนี้ประมวลผลต่างๆ และส่งผลต่อการทำงานของเครื่องที่รวดเร็วดี ทดสอบการรันกราฟิกด้วยเกมที่ต้องใช้พลังงานสูงหรือพื้นที่ RAM หนักๆ ก็ค่อนข้างลื่นไหลใช้ได้เลย ส่วนระบบเสียงในรุ่นนี้คือ dynamic 2nd generation NXP Amplifier และ 5-magnet Speaker ซึ่งพลังเสียงที่ออกมาทางลำโพงขณะเล่นเกมถือว่าดังสะใจและให้ความไพเราะของเสียงที่ใช้ได้เลย แต่ด้ววตำแหน่งลำโพงบริเวณขอบด้านล่างอาจถูกบดบังบ้างเมื่อถือเครื่องใช้งานแนวนอน
Camera
นอกจากพื้นที่ของ ROM และ RAM ที่ต่างกันแล้ว ความละเอียดของกล้องถ่ายภาพในแต่ละรุ่นย่อยก็แบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน สำหรับ ASUS Zenfone Max Pro (M1) ในเวอร์ชั่น ROM 32GB และ RAM 3GB มีกล้องคู่ความละเอียดที่ 13 และ 5 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลพร้อม Soft LED Flash แบบดวงไฟแฟลชโดยเฉพาะ ส่วนอินเตอร์เฟซกล้องในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน อาจต้องใช้ความคุ้นเคยกันสักหน่อย แต่หลักๆ ฟีเจอร์ของกล้องก็จะมีโหมดถ่ายภาพออโต้ แมนนวล และซีนถ่ายภาพต่างๆ, Depth Effect หรือการถ่ายภาพหน้าชัด หลังละลายแบบเพิ่มลดความเบลอของฉากหลังได้ และเลือกจุดที่ต้องการให้ภาพคมชัดได้เช่นกัน แต่ในรุ่นนี้กลับย้ายการเปิดปิดไฟแฟลชไปไว้ในปุ่ม Setting ยิบย่อยเสียนี่ ทำให้ไม่สะดวกนักสำหรับใครที่ต้องใช้งานแฟลชแบบไปๆ มาๆ บ่อยๆ
ส่วนภาพถ่ายทีได้จากกล้องคู่ของ ASUS Zenfone Max Pro (M1) ถือว่าใช้ได้อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายในที่กลางแจ้งหรือที่แดดจัดก็มีสีสันและความคมชัดที่อยู่ในระดับดี ให้เฉดสีสันที่สมจริง การใช้งาน Depth Effect หรือการถ่ายภาพหลังละลายก็ทำออกมาค่อนข้างดี แต่ตัวกล้องมีจังหวะการประมวลผลภาพที่ช้าไปนิด ต้องถือกล้องให้นิ่งต่อเนื่องหลังจากกดชัตเตอร์ ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อยและกลางคืนก็แสดงรายละเอียดภาพค่อนข้างครบ ภาพสว่างสมจริง ไม่ดูสว่างจ้าจนเกินไป แต่ถ้าถือกล้องไม่นิ่งอาจทำให้ภาพสั่นไหวได้ อาจต้องระวังขณะถ่ายภาพสักนิด
Google Lens
ส่วนเทคโนโลยีใหม่จากกูเกิลที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ อย่าง Google Lens ที่ช่วยค้นหาข้อมูล สถานที่ผ่านรูปภาพ ก็มีให้ลองเล่นในรุ่นนี้ตั้งแต่ในตัวกล้องเลยเช่นกัน ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ที่ไม่มี Google Lens ติดกล้องมาด้วยก็สามารถใช้งานผ่าน Google Photos ได้ ซึ่งจากการทดสอบใช้งานพบว่าระบบยังค้นหารูปภาพได้ค่อนข้างแม่นยำประมาณหนึ่ง รวมถึงการแยกส่วนรูปภาพและตัวอักษรออกจากกันได้ แต่ในแง่การใช้งานจริงจัง อาจต้องรอให้ Google Lens พัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
Fingerprint & Face Recognition
ฟังก์ชั่นการสแกนลายนิ้วมือบน ASUS Zenfone Max Pro (M1) นั้นยังไม่มีจุดใดพิเศษ แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ มากนัก เริ่มจากตำแหน่งเซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านหลังตัวเครื่องพอดีปลายนิ้วชี้ขณะจับถือ เหมาะแก่การใช้งานมือเดียวง่ายๆ หรือใครที่ไม่สะดวกใช้ลายนิ้วมือในการปลดล็อคหน้าจอ ก็เลือกใช้ Face Recognition หรือการสแกนใบหน้าแทนได้ แถมยังเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้และอินเทรนด์ในช่วงนี้อีกด้วย
Battery
จุดเด่นสุดพิเศษที่หลายคนน่าจะชอบของ ASUS Zenfone Max Pro (M1) ก็คือแบตเตอรี่ความจุสูงสะใจ 5,000 มิลลิแอมป์! ที่ไม่ได้มีประโยชน์แค่การใช้งานที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าใคร แต่ยังทำหน้าที่พาวเวอร์แบงก์สำรองในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ด้วย ซึ่งในกล่องจะมีสาย USB OTG แบบ 2.0 มาให้แปลงหัวชาร์จเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ส่วนระยะเวลาการใช้งานที่เครื่องระบุไว้นั้น หากแสตนด์บายโดยไม่ได้เปิดแอพไว้เยอะๆ สามารถอยู่ได้นานเกิน 2 สัปดาห์เลยทีเดียว แต่ในการใช้งานจริงก็ยังอยู่ได้เต็มวันเช่นกัน
Others
นอกจากนี้เอซุส เซ็นโฟน แม็กซ์ โปร (M1) ยังเปลี่ยนมาใช้ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Triple Slot หรือ ช่องใส่ซิมการ์ดแบบสองซิม (นาโนซิม) และช่องใส่ microSD แยกโดยเฉพาะบนถาดเดียวกัน ไม่ต้องเลือกการใช้งานระหว่าง 2 ซิมหรือเพิ่มความจำภายนอกอีกต่อไป และนอกจากการเชื่อมต่อเครือข่าย 4G LTE และ Wi-Fi แล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อ Dual 4G Active ใช้งานได้สองซิม ไปจนถึงฟีเจอร์ VoLTE แถมยังฉายภาพบนอุปกรณ์หน้าจออื่นผ่าน Cast ได้อีกด้วย
Final Opinion & Conclusion
เมื่อเอซุสยังไม่ทิ้งจุดเด่นโดนใจอย่างสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาพร้อมแบตเตอรี่ความจุสูง แต่เรื่องฟีเจอร์เป็นสิ่งที่ต้องอัพเดตให้ทันสมัยและครอบคลุมทุกการใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งเจ้าเอซุส Zenfone Max Pro (M1) ยังคงความ Max ในเรื่องของความจุแบตเตอรี่และระยะเวลาการใช้งาน ส่วนเรื่องความ Pro จากการใช้งานต่างๆ นั้นก็ทำได้ค่อนข้างดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายภาพแบบคู่ ระบบปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือ หน้าจอ 18:9 ไปจนถึงระบบเสียงที่ใช้งานเกมและบันเทิงได้สบายๆ ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนราคาไม่เกินหมื่น แบตอึดสะใจแถมได้กล้องคู่ ASUS Zenfone Max Pro (M1) นี่แหละตัวเลือกที่ใช่
Strength
- หน้าจอ Full View Display 5.99 นิ้ว ความละเอียด FHD+
- ชิพเซต Snapdragon 636 Octa-core 1.8 GHz
- RAM 3GB และ ROM 32GB / microSD ได้สูงสุด 256GB
- ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 8.1 (โอรีโอ)
- กล้องคู่ 13+5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช
- ถ่ายภาพหน้าชัด หลังละลายด้วย Depth Effect
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม Soft LED Flash
- รองรับ 2 ซิมการ์ดและ Dual 4G Active บน Triple Slot
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า
- แบตเตอรี่ความจุสูง 5,000 มิลลิแอมป์ ใช้งานเป็นพาวเวอร์แบงก์ได้
ข้อมูลทั่วไป
ขนาด, น้ำหนัก | 159 x 76 x 8.5 มม., 180 กรัม |
SIM Card | Nano SIM+Nano SIM (Triple Slot) |
แบตเตอรี่ | Li-ion 5,000 mAh |
เครือข่าย
เครือข่าย 2G | 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz |
เครือข่าย 3G | 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz |
เครือข่าย 4G | LTE |
หน่วยความจำ
หน่วยความจำภายใน | 32GB / RAM 3GB (เครื่องทดสอบ) |
หน่วยความจำภายนอก | microSD สูงสุด 400GB |
จอแสดงผล
ขนาด | 5.99 นิ้ว |
ความละเอียดและความหนาแน่น | 1080 x 2160 พิกเซล (402 dpi) |
ชนิดและจำนวนสี | IPS LCD 16 ล้านสี |
ระบบ
หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) | Qualcomm Snapdragon 636 Octa-core 1.8 GHz |
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) | Adreno 509 |
ระบบปฏิบัติการและอินเทอร์เฟซ | Android 8.1 (Oreo) |
การเชื่อมต่อ
Wi-Fi | 802.11 b/g/n, Wi-Fi Hotspot, Wi-Fi Direct |
Bluetooth | รองรับ (v4.2, A2DP, LE) |
NFC | ไม่รองรับ |
USB | microUSB 2.0 / USB OTG |
ระบบระบุตำแหน่ง (GPS) | รองรับ (A-GPS, GLONASS, BDS) |
มัลติมีเดีย
กล้องถ่ายภาพนิ่ง | |
ความละเอียด | กล้องคู่ 13+5 ล้านพิกเซล / 8 ล้านพิกเซล |
คุณสมบัติ | Depth Effect / Beauty Mode / เอชดีอาร์ / โหมดถ่ายภาพตามสถานการณ์ / ปรับขนาดและอัตราส่วนของภาพ |
กล้องวิดีโอ | |
ความละเอียด | 3840 x 2160 (UHD 4k) / 1920 x 1080 |
คุณสมบัติ | เลือกขนาดไฟล์วิดีโอ / ฟิลเตอร์สี / ถ่ายวิดีโอแบบปิดเสียง |
วิทยุ | มี |
อื่นๆ | รองรับการสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า |
ราคา 5,990 บาท (ROM 32GB/RAM 3GB)