สำหรับผู้ที่สนใจอุปกรณ์เสริมล้ำสมัยอย่าง VR ส่วนใหญ่มักจะมีความต้องการที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ การดูภาพยนตร์แบบเต็มตา คมชัดกว่าใคร สัมผัสประสบการณ์ระดับสุดยอดจากการเล่นเกมอันแสนระทึกใจ ฉะนั้น VR ที่เหมาะสม จึงต้องเป็นรุ่นที่ใช้งานสะดวก ง่ายต่อทุกเพศทุกวัย พอดีกับศีรษะและใบหน้าทุกรูปแบบ ให้ภาพทึ่คมชัด รวมถึงมุมมองที่กว้าง มองเห็นรอบด้าน 360 องศา และสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบ VR รุ่นเด่นๆ สุดเจ๋งดังต่อไปนี้
-
Samsung Gear VR
Gear VR รุ่นแรกจากซัมซุงก็ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มใช้งาน VR ด้วยการใช้งานที่ง่าย เพียงนำสมาร์ทโฟนเชื่อมต่อเข้ากับ VR ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์สุดเร้าใจได้เลย พร้อม Exclusive Content VR มากมายผ่านทาง Oculus Store ที่ให้ความบันเทิงเกินใคร รวมถึงการปรับความคมชัดของภาพที่ทำได้สะดวก แต่เนื่องจากเป็น Gear VR รุ่นเก่าที่ยังเชื่อมต่อด้วยพอร์ต microUSB 2.0 จึงทำให้สมาร์ทโฟนที่ใช้งานร่วมกับ Gear VR รุ่นแรกได้นั้นมีจำกัด
ข้อดี
- สั่งงานจากตัว VR ได้โดยตรงด้วยปุ่ม Touchpad
- เลือกปรับความคมชัดของภาพขณะใช้งานได้
- มีความบันเทิงสำหรับ VR ให้เลือกมากมายจาก Oculus Store
ข้อเสีย
- ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนซัมซุงบางรุ่นเท่านั้น (Galaxy Note 5, S6 edge+, S6 edge, S6)
- มุมมองภาพกว้างเพียง 96 องศา
-
Samsung Gear VR 2.0
เมื่อ Samsung Gear VR 2.0 เปิดตัวมาพร้อมกับ Samsung Galaxy Note 7 ก็ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนให้ลงตัวกว่าเดิม มีน้ำหนักเบาพร้อมสายรัดคาดศีรษะที่กระชับขึ้น รวมถึงปุ่มควบคุมและ Trackpad ต่างๆ ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อการสั่งงานที่สะดวก ส่วนของเลนส์ที่ใช้ใน Samsung Gear VR 2.0 ก็มีมุมมองที่กว้างพิเศษ มี Sensor ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีในสมาร์ทโฟน เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของภาพลื่นไหลขึ้นและช่วยลดอาการเวียนศีรษะ เพิ่มความพิเศษด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C เพื่อการใช้งานร่วมกับ Samsung Galaxy Note 7 และเปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อให้เป็น microUSB 2.0 ได้ด้วย เพื่อรองรับสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ จากซัมซุง
ข้อดี
- ให้ภาพที่คมชัดและมุมมองที่กว้างพิเศษ เลือกปรับความคมชัดของภาพขณะใช้งานได้
- มี Sensor ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีในสมาร์ทโฟน เพื่อภาพเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล และลดอาการเวียนศีรษะ
- รองรับการเชื่อมต่อ USB Type-C สำหรับ Galaxy Note 7 และสมาร์ทโฟนอื่นๆ และยังถอดเปลี่ยนกับพอร์ต microUSB 2.0 ได้
- ออกแบบให้มีน้ำหนักเบา พร้อม Trackpad และปุ่มควบคุมแบบใหม่
- ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB Type-C สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก เช่น USB memory เพื่อชมภาพยนตร์อื่นๆ ได้ตามชอบ โดยไม่เสียพื้นที่หน่วยความจำในสมาร์ทโฟน
ข้อเสีย
- รองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนซัมซุงบางรุ่นเท่านั้น (Galaxy Note 7, Note 5, S7 edge, S7, S6 edge+, S6 edge, S6)
-
VR Box 2
อีกหนึง VR ที่น่าสนใจ ส่วนหนึ่งมาจากราคาในระดับที่เป็นเจ้าของกันได้ง่าย รองรับสมาร์ทโฟนค่อนข้างหลากหลาย ทั้งแอนดรอยด์สมาร์ทโฟนและ iPhone แต่จากการทดสอบพบว่ายังมีปัญหาเมื่อในสมาร์ทโฟนใส่เข้ากับตัว VR แล้วมีปัญหากดทับปุ่มปรับเสียง / ปุ่มพาวเวอร์ จึงต้องหามุมใส่ให้เข้ากับ VR Box 2 นอกจากนี้ยังสามารถปรับตำแหน่งเลนส์ซ้าย-ขวาขณะใช้งานได้อีกด้วย แต่ยังไม่สามารถสั่งงานขณะสวมใส่ VR แต่อย่างใด
ข้อดี
- ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหน้าจอไม่เกิน 6 นิ้ว รวมถึง iPhone
- ปรับตำแหน่งเลนส์ซ้าย-ขวาขณะใช้งานให้เข้ากับสายตาของแต่ละบุคคล
- ราคาน่าคบสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งาน VR
ข้อเสีย
- มีปัญหากดทับปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างตัวเครื่อง
- ไม่สามารถสั่งงานผ่านตัว VR ขณะสวมใส่ได้
- คุณภาพของภาพคมชัดในระดับหนึ่ง ต้องปรับเลนส์เพื่อความคมชัดเป็นระยะ
- ความลื่นไหลจากการเล่นเกม และขณะใช้งานการเคลื่อนไหวยังมีอาการติดขัดอยู่บ้าง
เปรียบเทียบสเปคด้านต่างๆ
จากการเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น จะพบว่าทั้ง 3 รุ่นนี้มีความแตกต่างของความสามารถในตัวที่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนดีไซน์ภายนอกนั้นจะมีความคล้ายคลึงกัน ด้วยส่วนประกอบของตัวแว่น VR และสายคาดรัดศีรษะ แต่ Samsung Gear VR 2.0 จะมีข้อได้เปรียบในส่วนของการเชื่อมต่อ USB Type-C ที่รองรับ Samsung Galaxy Note 7 และมี Sensor ที่ช่วยในส่วนของภาพเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลกว่าเดิม ส่วน VR Box จะมีจุดเด่นที่รองรับสมาร์ทโฟนได้หลากหลายรุ่นมากกว่า แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถควบคุมการใช้งาน VR ขณะสวมใส่ ใช้งานได้ หากคุณต้องการ VR ที่ให้ประสบการณ์ระดับสุดยอดจากภาพที่คมชัดและมุมมองกว้างกว่าที่ตาเห็น Samsung Galaxy Gear VR 2.0 ก็เป็นอีกรุ่นที่ดูดีทีเดียว