หลังจากเปิดตัวไปแล้วกับหูฟัง True Wirelss กับรุ่น Huawei FreeBuds 4 หูฟังที่พัฒนาต่อจากรุ่นก่อนให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมในเรื่องของการรับเสียง การตัดเสียงรบกวน แต่ยังคงดีไซน์เดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนการใช้งานในด้านอื่นๆ จะเป็นอย่างไร มาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองฟัง Huawei FreeBuds 4
ชุดหูฟังที่เราได้มาทดสอบครั้งนี้เป็นสี Silver Frost เป็นสีใหม่ล่าสุดที่ทาง Huawei เพิ่มเข้ามา สังเกตสีของเคส และหูฟังได้จากที่ด้านหน้ากล่อง ส่วนที่ด้านหลังกล่องก็มีจุดเด่นต่างๆ บอกไว้ ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวน Noise Cancellation 2.0, ระบบการบันทึกเสียงไร้สายแบบ HD, ลำโพงที่ให้เสียงกว้างถึงย่านความถี่ 40 kHz, เชื่อมต่อได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ในกล่องเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ดังนี้
- Huawei FreeBuds 4 จำนวน 1 คู่ สี Silver Frost
- Charging case
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- คู่มือการใช้งาน เอกสารการรับประกัน
อุปกรณ์ภายในกล่องก็มีเพียงสายชาร์จ USB มาให้ สามารถเสียบสายชาร์จกับอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟน หรือเสียบเข้ากับ USB ของคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคู่มือการใช้งานอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมี QR Code สำหรับสแกนเพื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น AI Life ที่จำเป็นในการตั้งค่าหูฟัง
สำหรับสี Silver Frost เคยใช้ในรุ่น FreeBuds Pro ไปแล้ว และสำหรับรุ่นนี้ก็ยังคงนำมาเป็นสีหลักของรุ่นนี้ด้วย ตัว Charging case เป็นสีเทาแบบด้าน ตัวเคสมีลักษณะเป็นวงกลม แต่สำหรับชุดหูฟังทั้งสองข้างเป็นแบบเงาดูล้ำสมัยคล้ายกับโลหะ แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือได้ค่อนข้างง่าย อาจจะต้องเช็ดกันบ่อยๆ ส่วนน้ำหนักของหูฟังค่อนข้างเบาเพียง 4.1 กรัม สวมใส่ได้สบาย
มาดูกันที่ตัว Charging case กันก่อน ส่วนของด้านบนเป็นฝาปิดเหมือนกับรุ่นก่อน อีกทั้งยังทำหน้าที่เปิด/ปิดหูฟังไปด้วยในตัว หากใช้งานครั้งแรก เมื่อเปิดฝาปิดออกมาระบบจะเข้าสู่โหมด Paring โดยอัตโนมัติ แต่หากเคยจับคู่กับสมาร์ทโฟนแล้วก็จะเชื่อมต่อให้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ
ด้านหน้ามีเพียงไฟ LED ดวงเล็กๆ บอกสถานะต่างๆ ของเครื่อง หากอยู่ในโหมด Paring จะกระพริบสีขาว หากไฟขึ้นเตือนเป็นสีส้มแสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด และหากแบตเตอรี่เต็มก็จะเป็นสีเขียว ส่วนด้านหลังจะมีเพียงบานพับที่สกรีนโลโก้ HUAWEI และแถบสีดำบ่งบอกถึงชื่อแบรนด์
ที่ด้านข้างขวาของ Charging case มีปุ่มเล็กๆ สำหรับกดเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ส่วนที่ด้านล่างมีช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C
สำหรับชุดหูฟังเป็นแบบ Open-fit เมื่อสวมใส่ที่ใบหูจะไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนหูฟังแบบ In-Ear ทำให้ฟังเพลง หรือดูหนังได้สบายๆ ไม่เมื่อยล้า ด้านในของหูฟังมีจุดสีดำ 2 จุดเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ และเป็นไมโครโฟนที่ทำงานกับไมโครโฟนด้านนอกเพื่อตัดเสียงรบกวน ส่วนปลายหูฟังเป็นแบบก้าน ยาวลงมาเล็กน้อย ซึ่งส่วนก้านนี้เป็นเซ็นเซอร์แบบสัมผัสสำหรับแตะเพื่อรับสาย/วางสาย, แตะเพื่อเล่น/หยุดเพลง, แตะค้างเพื่อเปิด/ปิดระบบตัดเสียงรบกวน
เชื่อมต่อได้ง่าย ใช้งานได้กับทุกแบรนด์ด้วยแอพฯ Huawei AI Life
สำหรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน Huawei จะใช้งานได้สะดวกกว่า เพราะสามารถใช้งานได้เต็มฟังก์ชั่น และเต็มประสิทธิภาพมากกว่า และหากใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน Mate Series, P Series หรือแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ EMUI 10.0 ขึ้นไป เพียงแค่เปิดฝา หน้าจอก็จะขึ้น Pop up ให้เชื่อมต่อทันที สะดวกมากๆ
แต่หากใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ในระบบปฏิบัติการ Android หรือ iOS ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น Huawei AI Life มีให้ดาวน์โหลดทั้งสองแพลทฟอร์ม นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่นคอมพิวเตอร์ PC เครื่องเล่นเกมพกพาที่รองรับบลูทูธก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้แอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ พร้อมอัพเกรดระบบเสียง และระบบตัดเสียงรบกวน ANC 2.0
รูปแบบของหูฟังถูกออกแบบตามหลักการยศาสตร์ ตัวหูฟังเป็นแบบ Open-fit ทำให้สวมใส่ได้สบาย ไม่อึดอัด ลดแรงกดบริเวณหูชั้นนอก ผ่านการทดสอบกับใบหูในรูปแบบต่างๆ มากกว่า 1,000 แบบ ตัวไดร์ฟเวอร์มีขนาดใหญ่ 14.3 มม. ใช้ไดอะแฟรมที่มีส่วนประกอบของพอลิเมอร์ผลึกเหลว (LCP) รองรับการตอบสนองต่อย่านความถี่สูงสุดถึง 40 kHz ช่วยขับเสียงเบสให้มีพลัง
ที่หูฟังแต่ละข้างจะมีไมโครโฟน 3 ตัวเพื่อรับเสียงระหว่างใช้งานโทรศัพท์ โดยไมโครโฟน 2 ตัวมีระบบการตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling 2.0 ANC โดยทาง Huawei เคลมว่าสามารถลดเสียงรบกวนได้ถึง 25 เดซิเบล ซึ่งจากการทดสอบเปิดระบบตัดเสียงรบกวนก็สามารถตัดเสียงได้จริง โดยเฉพาะสียงย่านความถี่ต่ำ อย่างเช่นเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์ และยังตัดเสียงรบกวนในย่านความถี่กลาง ความถี่สูงได้ดีเช่นเดียวกัน โดยข้อดีของหูฟังแบบ Open-fit นี้ยังคงได้ยินเสียงรอบข้างบ้าง ทำให้เราได้ระวังตัวจากสิ่งรอบข้างด้วย
ในการเล่นเกมก็ยังมาพร้อมระบบ Low Latency Gaming Mode ช่วยลดความหน่วงของเสียงลงเหลือเพียง 150 มิลลิวินาที หากเล่นเกมประเภท FPS อาจจะยังรู้สึกหน่วงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสในการเล่นเกม แต่หากนำไปดูหนัง ฟังเพลง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหน่วงเสียงเลย
บทสรุป
จากการใช้งานถือว่าเป็นหูฟังที่ดีไซน์สวยงาม ใส่สบายหูแบบสุดๆ ใช้ฟังเพลงได้อย่างสบายๆ ไม่รู้สึกอึดอัด เมื่อยล้า ปวดหูแต่อย่างใด ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานได้ดี ถึงแม้ว่าจะตัดไม่หมดเหมือนกับหูฟัง In-ear ที่มีเสียงเล็ดลอดเข้าไปน้อยมากๆ แต่ก็เหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่ชอบหูฟังแบบ In-ear ส่วนการใช้งานโทรศัพท์ก็ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อน เสียงดังฟังชัด ตัดเสียงรอบข้างได้ดีพอสมควร ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 4,499 บาท
สเป็ค Huawei FreeBuds 4
- ขนาดหูฟัง 41.4 x 16.8 x 18.5 มม., น้ำหนัก 4.1 กรัม
ขนาด Charging case 58 x 21.2 มม., น้ำหนัก 38 กรัม - แบตเตอรี่หูฟังข้างละ 30 mAh, Charging case 410 mAh
- ระยะเวลาการใช้งาน 4 ชั่วโมง และ 22 ชั่วโมงเมื่อชาร์จกับ Charging case
- ระบบชาร์จผ่านสาย USB-C
- ขนาด Driver 14.3 มม.
- Bluetooth Version : 5.2
- มาตรฐานกันน้ำ IPX4
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation 2.0
- มีให้เลือก 2 สี Silver Frost, Ceramic White
ช่องทางการวางจำหน่าย
วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ HUAWEI Experience Store ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ และช่องทางออนไลน์ดังนี้
ช่องทางจำหน่าย HUAWEI FreeBuds 4
- HUAWEI Online Store https://bit.ly/366bKtk
- Shopee https://bit.ly/36aO2fi
- Lazada https://bit.ly/3AfI22S
- JD Central https://bit.ly/2UfsMCK