รีวิว Infinix Note 30 5G เกมมิ่งสมาร์ตโฟนที่มาพร้อม RoV Edition รุ่นเดียวในท้องตลาด เอาใจบรรดาเหล่าเกมเมอร์ RoV โดยเฉพาะ และไม่เพียงแค่ความร่วมมือระหว่าง Infinix และ RoV เท่านั้น สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นนี้ยังมีดีที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ กล้อง 108 ล้านพิกเซลที่ถ่ายภาพสวย หน่วยประมวลผลที่รวดเร็ว แบตอึด ชาร์จเร็ว ในราคาเริ่มต้นเพียง 7,499 บาทเท่านั้น มาแกะกล่องดูกันเลยว่ารุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
แกะกล่องลองเล่น Infinix Note 30 5G
แค่เห็นกล่องก็ทำให้เราประทับใจในความสวยงามของการออกแบบที่มีตัวละครที่อยู่ด้านหน้า กับสีเขียวสะท้อนแสงของ Note 30 ที่ดูโดดเด่นมากๆ แต่นี่คือส่วนที่หุ้มกล่องเท่านั้น สามารถนำไปตั้งโชว์สวยๆ ได้เลย และเมื่อดึงออกมาก็จะพบกับกล่องที่แท้จริงจอง Note 30 5G รุ่นนี้ มีบอกคุณสมบัติเด่นอย่างเช่นโลโก้ Sound by JBL, ระบบ Fast charge 45 วัตต์ และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Infinix Note 30 5G สี Magic Black
- อแดปเตอร์ Infinix 45 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-A to USB-C
- เคสซิลิโคน RoV Edition
- ฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน
- ฟิล์มกระจกกันรอย
- สติ๊กเกอร์ตัวละคร RoV
- คู่มือการใช้งาน
- การ์ด Infinix | RoV
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
ในกล่องก็มีอุปกรณ์มาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเคสซิลิโคน RoV Edition และสติ๊กเกอร์ตัวละคร RoV แบบน่ารักๆ ที่น่าจะถูกใจแฟนเกมแน่นอน ตัวเครื่องมีฟิล์มกันรอยที่ติดมาพร้อมจากโรงงาน แต่ก็ยังแถมฟิล์มแบบกระจกกันรอยมาให้ในกล่องอีก 1 ชิ้น มีอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟ 45 วัตต์ก็มีมาให้ครบ จะขาดก็เพียงหูฟังเท่านั้นเอง แต่เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะมีหูฟังประจำตัวอยู่แล้ว หรือหากต้องการซื้อเพิ่มก็มีราคาไม่แพง สามารถเลือกตามความชอบได้เลย
Infinix Note 30 5G สี Magic Black สะกดทุกสายตาดั่งต้องมนต์
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Magic Black ด้านหลังดีไซน์แบบเรียบๆ ใช้วัสดุเป็นพื้นผิวแบบด้าน ไม่ติดรอยนิ้วมือง่ายๆ พื้นผิวของฝาหลังหากอยู่กลางแจ้งก็จะเห็นเป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นลวดลายใดๆ แต่เมื่ออยู่ในที่แสงน้อยแล้วมีแสงมาตกกระทบที่พื้นผิวจะเผยเกร็ดระยิบระยับเหมือนมีมนต์สะกดให้หันมามอง นอกจากนี้ยังมีสี Interstellar Blue และ Sunset Gold ให้เลือกอีกด้วย
จอแสดงผลด้านหน้าแบบ IPS LTPS ขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว พร้อมอัตรารีเฟรชเรทที่ปรับเปลี่ยนได้สูงสุด 120 Hz ให้ความสว่างสูงสุด 580 nits เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบเจาะรูตรงกลางแล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่างที่ถูกซ่อนไว้บริเวณนี้ทั้งหมด และยังมีไฟแฟลชแบบ Dual LED ซ่อนไว้ที่มุมบนขวาสำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อยมาให้ด้วย นอกจากนี้หน้าจอแสดงผลยังมีวอลล์เปเปอร์ฮีโร่จากเกม RoV มาให้เลือก รวมไปถึงหน้าจอ Lock Screen และธีมของหน้าจอด้วย
ฝาหลังของตัวเครื่องเป็นสี Magic Black ถูกออกแบบมาอย่างเรียบๆ จะมีเพียงโมดูลกล้องเท่านั้นที่ดูโดดเด่นด้วยเลนส์กล้องขนาดใหญ่ ความละเอียดกล้องเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล หากกลัวว่าโมดูลกล้องจะเป็นรอยก็สามารถใส่เคสใสที่มีมาให้ในกล่องได้ ซึ่งตัวเคสยังมีลวดลายของเกม RoV มาให้อีกด้วย
ที่ด้านข้างซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบ 3 ช่อง เป็นแบบประกบบนล่าง สามารถใส่ SIM1 + SIM2 และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้อีกสูงสุดถึง 2 TB
ส่วนที่ด้านข้างขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปด้วยในตัว ซึ่งปุ่มนี้จะนูนขึ้นมารับกับนิ้วมือเล็กน้อย ทำให้สแกนนิ้วได้อย่างสะดวก
ที่ด้านบนมีลำโพงแบบสเตอริโอ พร้อมโลโก้ Sound By JBL ที่ได้รับการปรับจูนเสียงมาแล้ว หากวางเครื่องในแนวนอนก็จะให้เสียงแยกซ้ายขวามีมิติชัดเจน
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องไล่จากด้านซ้ายมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา, ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และลำโพงสปีกเกอร์โฟน ทำงานร่วมกับลำโพงด้านบนก็จะให้เสียงแบบสเตอริโอแยกซ้ายขวาชัดเจน
แรงด้วยหน่วยประมวลผลระดับ Dimensity 6080 เชื่อมต่อไม่มีสะดุดบนเครือข่าย 5G
NOTE 30 5G ถูกออกแบบ และเลือกสเป็คหน่วยประมวลผลมาสำหรับการเล่นเกมด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6080 5G กระบวนการ 6 นาโนเมตร สถาปัตยกรรม Arm Cortex-A76 ความเร็วสูงสุด 2.4GHz รองรับเครือข่าย 5G ที่มีความหน่วงต่ำ ทำให้การเล่นเกมออนไลน์ตอบสนองรวดเร็ว มีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น และยังมีเทคโนโลยี UPS (Ultra Powerful Signal) ที่ Infinix พัฒนาขึ้นเอง มีการออกแบบเสาอากาศใหม่และอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ ช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อในสถานที่ที่มีสัญญาณอ่อน อย่างชั้นใต้ดิน ลิฟต์ พื้นที่ชานเมือง สามารถสลับเสาอากาศได้อย่างชาญฉลาด
หน่วยความจำ RAM 8 GB ที่มีมากกว่าสมาร์ทโฟนในเรทราคาเดียวกัน พร้อมเพิ่มอีก 8 GB รวมเป็น 16 GB มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือก 2 รุ่นคือ 128 GB และ 256 GB แต่หากยังไม่พอก็เพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้อีกสูงสุด 2 TB นอกจากนี้ยังใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 13 ใหม่ล่าสุด พร้อม OSX เวอร์ชั่น 13 ที่ทาง Infinix พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวก เข้าถึงเมนูต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่สับสน
สำหรับเกมเราได้ทดสอบก็คงจะหนีไม่พ้นเกม RoV ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง สามารถปรับระดับความละเอียดภาพได้ที่สูงสุดคือ Ultra สามารถเล่นเกมได้ไม่มีกระตุก การเคลื่อนไหวของภาพกราฟฟิคทำได้อย่างลื่นไหลด้วยหน้าจอ Refresh rate 120 Hz และด้วย Hardware ที่เรากล่าวมาข้างต้นช่วยให้การเล่นเกมทำได้ไม่มีสะดุด และยังมีฟีเจอร์ XArena และ Game Mode ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล สามารถปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง, บันทึกหน้าจอขณะเล่นเกม และเปลี่ยนเสียงพูดของเราขณะเล่นเกมได้อีกด้วย
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 10.0.1 ทำคะแนนได้สูงสุด 402,736 คะแนน
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 6 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 773 คะแนน, Multi-core ทำได้ 2046 คะแนน และ GPU Benchmark ทำคะแนนได้ 1408 คะแนน
กล้องความละเอียดระดับ 108 ล้านพิกเซล พร้อม AI Camera
สำหรับกล้องของรุ่นนี้มีมาให้ 3 เลนส์ โดยเลนส์หลักมีความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล แต่ในการถ่ายภาพในโหมดปกติจะถ่ายที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/1.67 นิ้วเต็มพื้นที่โดยใช้ 4 พิกเซล รวมเป็น 1 พิกเซลเพื่อให้การรับแสงทำได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีกล้อง AI Camera ที่เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพโดยใช้ระบบ AI ช่วยปรับแต่งสีสันของภาพให้สวยงามยิ่งขึ้น สำหรับสเป็คกล้องหลัง 3 เลนส์ และกล้องหน้ามีรายละเอียดดังนี้
กล้องหลัง
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.75 ขนาดใหญ่ 1/1.67 นิ้ว, 6 ชิ้นเลนส์
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้อง AI Camera
กล้องหน้า
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
ในการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Beauty, Portrait, Super Night สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.0 (เบลอมากสุด) ไปจนถึง f/16 (เบลอน้อยสุด) เลือกปรับความเรียวของใบหน้า ปรับสัดส่วนร่างกาย ได้ด้วยโหมด Beauty หรือจะใช้ AI Smart Beauty ไปเลยก็ได้ ซึ่งจะเป็นการปรับอัตโนมัติโดย AI เป็นโหมดที่สาวๆ ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
ในด้านการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 2K 30 เฟรมต่อวินาที หรือความละเอียด Full HD 1080p ก็สามารถถ่ายได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Ultra Steady ช่วยให้ถ่ายวิดีโอได้นิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นในการถ่ายวิดีโอ อย่าง FILM ช่วยในการถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้สนุกยิ่งขึ้น เหมาะกับการถ่ายสนุกๆ อัพลง Story, Reel หรือ TikTok หรือแพลทฟอร์มวิดีโอสั้นอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
All-around Fast Charge 45W พร้อมโหมด Bypass
NOTE 30 5G มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5000 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ Dual-channel ที่แบ่งแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ก้อน ชาร์จแบบขนานได้พร้อมกัน มาพร้อมอแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 45W สามารถชาร์จจาก 1-75% ใน 30 นาที และชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง และด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ จึงรองรับ Reverse Charging สามารถแบ่งปันพลังงานแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ผ่านสาย USB-C to USB-C ซึ่งจะต้องซื้อสายเพิ่มเอง
Infinix NOTE 30 5G มีฟังก์ชันการชาร์จแบบ Bypass ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ กระแสไฟที่ชาร์จจะข้ามแบตเตอรี่เพื่อส่งตรงไปยังเมนบอร์ด ซึ่งจะช่วยลดความร้อนที่จะสูงเกินไปขณะชาร์จและเล่นพร้อมกัน สามารถลดอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นได้สูงสุด 7 องศาเซลเซียส แต่จะต้องมีแบตเตอรี่ 30% ระบบ Bypass นี้จึงจะทำงาน นอกจากนี้ยังมี AI Smart Charge เรียนรู้รูปแบบการใช้งาน คาดการณ์เวลาเข้านอนและตื่นนอน โดยจะชาร์จแบตเตอรี่ถึง 80% โดยจะหยุดการชาร์จชั่วคราว แล้วกลับมาชาร์จต่อให้เต็มก่อนที่จะตื่นนอน นอกจากนี้ยังรองรับเทคโนโลยีการชาร์จ PD 3.0 สามารถชาร์จได้สูงสุด 35W โดยใช้อะแดปเตอร์อื่นที่รองรับมาใช้งานได้
บทสรุปรีวิว Infinix NOTE 30 5G ในความเห็นของ What Phone
สำหรับเกมเมอร์ที่ชื่นชอบเกม RoV เป็นชีวิตจิตใจต้องไม่พลาดสมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นนี้ เพราะนอกจากจะมีเคส สติ๊กเกอร์ วอลล์เปเปอร์ และธีมที่มีตัวละครของ RoV มาให้แล้ว ยังเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด จอแสดงผลขนาดใหญ่สะใจ แบตเตอรี่อึด ชาร์จเร็ว แตะสั่งงานได้รวดเร็วทันใจ ในด้านการถ่ายภาพก็ทำให้เราประทับใจได้กับสมาร์ทโฟนในราคานี้ เพราะระบบ AI ให้สีสันของภาพสวยงามสมจริง แต่ก็อาจจะขาดกล้องเลนส์ Ultra-Wide ไปบ้างแต่ถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจ สำหรับราคาเริ่มต้นของรุ่นนี้อยู่ที่ 7,499 บาทเท่านั้น หากมองหาสมาร์ทโฟนเล่นเกมสักเครื่องในงบประมาณที่ไม่ถึงหมื่น Infinix NOTE 30 5G รุ่นนี้ตอบโจทย์แน่นอน
สรุปสเป็ค Infinix Note 30 5G
- ขนาด 168.51 x 76.51 x 8.45 มม. น้ำหนัก 204.7 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบ
- หน้าจอ IPS LTPS FHD+ ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2460 พิกเซล
- จอแสดงผลรองรับ Dynamic Refresh rate 120 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 6080 5G Octa-core ความเร็ว 2.6 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali-G57
- ระบบปฏิบัติการ Android 13, XOS 13
- หน่วยความจำ RAM 8+8 GB, ROM 128/256 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.5
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.75 ขนาดใหญ่ 1/1.67 นิ้ว, 6 ชิ้นเลนส์
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้อง AI Camera
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ 45 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi 802.11 (a/b/g/n/ac), Bluetooth, NFC
- ลำโพง 2 ตัว ระบบเสียงสเตอริโอ Sound by JBL
- ป้องกันละอองน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP53
- มีให้เลือก 3 สี Magic Black, Interstellar Blue, Sunset Gold
- ราคาเปิดตัว
- รุ่นหน่วยความจำ 8/128 GB ราคา 7,490 บาท
- รุ่นหน่วยความจำ 8/256 GB ราคา 7,990 บาท