หลังจากที่เราได้ทำการแกะกล่องและพรีวิวกันไปก่อนหน้านี้ ก็ถึงแก่เวลาที่เราจะมารีวิว iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว รุ่นใหม่ของปี 2020 แล้ว โดยรุ่นนี้อาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก แต่ก็มีปรับเปลี่ยนไปพอสมควร ซึ่งจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ
จอภาพ Liquid Retina เทคโนโลยี ProMotion 120Hz คมชัด สมูทและลื่นไหล
สำหรับ iPad Pro รุ่นปี 2020 จะยังมีดีไซน์คล้ายรุ่นก่อนหน้าที่ออกมาในปี 2018 มีหน้าจอขนาด 12.9 นิ้ว เป็นหน้าจอแสดงผลแบบ Liquid Retina เทคโนโลยี IPS ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล, 264ppi จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) การแสดงผลแบบ True Tone และมีเทคโนโลยี Pro Motion ทำให้หน้าจอมีอัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz ให้การแสดงผลที่คมชัด สีสันสมจริง และมีความสมูทลื่นไหลและการตอบสนองทำได้ดีมากๆ และแน่นอนว่ารองรับการใช้งานกับ Apple Pencil ด้วย
ดีไซน์บางเบา จับถือสะดวก
ตัวเครื่องอะลูมิเนียมแบบยูนิบอดี้ที่มีความแข็งแรง อีกทั้งยังดูสวยงามให้สัมผัสที่ดี มีความบาง 5.9 มิลลิเมตร มีดีไซน์มุมโค้ง ทำให้การหยิบจับใช้งานทำได้ถนัดมือ รวมถึงเข้ากับอุ้งมือแบบสุดๆ ขอบหน้าจอที่ไม่บางหรือหนาเกินไปทำให้นิ้วมือไม่ไปโดนหน้าจอง่าย ไม่ต้องกังวลว่าจะลั่นบ่อยๆ และรุ่น Wi-Fi ขนาดหน้าจอ 12.9 นิ้วนี้มีน้ำหนัก 641 กรัม ก็ยังถือว่าพกพาได้ง่ายอยู่
ความบันเทิงจัดเต็มกับลำโพง 4 ตัว
ยังคงมาพร้อมกับลำโพงถึง 4 ตัว โดยจะวางลำโพง 2 จุดที่ด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งเบสจะออกมาทั้ง 4 ตัว ส่วนเสียงกลางและเสียงแหลมจะมาจากลำโพงคู่ด้านบนของตัวเครื่อง และสามารถปรับเสียงตามการหมุนตัวเครื่องโดยอัตโนมัติ ทำให้เวลาดูหนังหรือเล่นเกมก็จะได้เสียงที่คมชัดและรอบทิศทาง
นอกจากนี้รอบๆ ตัวเครื่องยังมีรูไมโครโฟนมาให้ถึง 5 ตัว จะอยู่ที่ด้านบนของตัวเครื่อง 2 จุด และอยู่รวมกับกล้องหน้า TrueDepth บนหน้าจออีก 1 จุด พร้อมกับด้านข้างของตัวเครื่องและอยู่รวมกับกรอบชุดเลนส์อีกอย่างละจุด ซึ่งทำให้การบันทึกเสียงหรือการสนทนาผ่าน FaceTime ทำให้ได้เสียงที่คมชัด
มาพร้อมพอร์ต USB-C
ยังมาพร้อมกับพอร์ต USB-C ที่สามารถใช้ชาร์จและโอนถ่ายข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 10Gbps รวมถึงเปิดแฟลชไดรฟ์ที่เป็น USB-C ได้ง่ายขึ้น และยังใช้ชาร์จไฟให้กับ iPhone ได้อีกด้วย
สำหรับปุ่มการใช้งานก็จะมีปุ่มล็อค/ปลดล็อคตัวเครื่องที่ใข้ร่วมกับปุ่ม Power วางอยู่ด้านบน ส่วนปุ่มปรับระดับเสียงสนทนาจะวางอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง พร้อมกับแถบแม่เหล็กสำหรับดูดติด Apple Pencil รุ่นที่ 2 ไว้กับตัวเครื่อง ซึ่งจะเป็นการชาร์จไฟไร้สายให้กับปากกาไปในตัว
กล้องหลังระดับโปร
iPad Pro รุ่นปี 2020 นี้จะมาพร้อมกับกล้องหลังคู่ โดยใช้กล้องไวด์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/1.8 และกล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4 มุมกว้าง 125 องศา ทำให้ iPad รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ใช้งานกล้องคู่ โดยใช้ไฟแฟลช LED แบบ True Tone รวมอยู่ในชุดเลนส์ที่มีดีไซน์เหมือนกับ iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max สามารถซูมแบบออปติคอล 2 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า ในด้านวิดีโอก็สามารถบันทึกวิดีโอได้ในระดับ 4K รวมถึงการใช้กล้องอัลตร้าไวด์บันทึกวิดีโอระดับ 4K ด้วย ทำให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น อีกทั้งยังใช้งาน
การใช้งานก็ไม่ต่างจากการใช้งานบน iPhone ที่สามารถปรับการซูมได้อย่างง่ายดายด้วยการเลื่อนนิ้วที่ระดับการซูม หรือจะเลือกจากปุ่มที่แสดงอยู่ก็ได้ คุณภาพไฟล์ที่ได้มาก็ถือว่าดีเลย มีออโต้โฟกัสให้ใช้งานพร้อมกับเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ทำให้มีรูปภาพมุมมองที่กว้างขึ้น ทำให้เราสามารถยก iPad Pro ขึ้นมาถ่ายได้โดยไม่ต้องกังวลถึงคุณภาพไฟล์ และในบางครั้งการถ่ายกระดาน, ข้อความ หรือเอกสารต่างๆ ก็จะคมชัดขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีโหมด Portrait มาให้ใช้งานกันอีก
ภาพตัวอย่างจากกล้องหลัง
LiDAR Scanner
อีกฟีเจอร์ที่ทาง Apple ได้เพิ่มเข้ามาใน iPad Pro ซึ่งเป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่มีการใช้งาน LiDAR Scanner (Light Detection and Ranging) เพื่อนำมาใช้งานเกี่ยวกับการวัดระยะที่แม่นยำได้มากขึ้น และใช้งานกับเทคโนโลยี AR ด้วย โดยเทคโนโลยี LiDAR Scanner ทางองค์กรนาซ่าจะนำไปใช้ในการนำยานอวกาศลงจอดบนดาวอังคารในครั้งต่อไปด้วย
สำหรับการใช้งานในชีวิตจริง LiDAR Scanner จะมาช่วยในเรื่องของการวัดระยะผ่านแอป Measure ที่ติดมากับตัวเครื่อง ทำให้การวัดวัตถุสิ่งของต่างๆ แม่นยำมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพกสายวัดหรือตลับเมตรมาวัดแล้ว เพียงแค่นำ iPad Pro มาส่องก็วัดระยะได้แล้ว แต่การวัดระยะแบบนี้อาจจะมีคลาดเคลื่อนได้ก็ต่อเมื่อเราทำการเริ่มจุดวัดได้ไม่แม่นยำพอ แต่ตัวแอปเองก็มีแถบวงกลมมาช่วยให้เราเริ่มต้นวัดได้แม่นยำขึ้น
นอกจากนี้ยังมาช่วยในเรื่องของ AR เรื่องของการวางตำแหน่งต่างๆ บนสถานที่จริงได้แม่นยำและสมจริงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้การทำงานในด้านต่างๆ สะดวกมากขึ้น อาทิ การออกแบบภายในอาคาร ที่สามารถวัดขนาดพื้นที่ภายในต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงการวางแฟอร์นิเจอร์ในรูปแบบ AR เพื่อช่วยให้การออกแบบทำได้รวดเร็วมากขึ้น
กล้องหน้า TrueDepth
มาพร้อมกล้องความละเอียด 7 ล้านพิกเซลรูรับแสงขนาด ƒ/2.2 สำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอ รองรับการถ่ายรูปภาพบุคคล การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล และยังรองรับ Smart HDR เพื่อให้ได้รูปภาพที่คมชัดมากขึ้น
ซึ่งจะมีกล้องอินฟาเรด, อิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง และตัวฉายจุดแสง มาคอยสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคหน้าจอแบบ FaceID และยังใช้งาน Animoji, Memoji อีกด้วย
ประสิทธิภาพเต็มขั้นกับชิป A12Z Bionic Neural Engine
iPad Pro รุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว ปี 2020 นี้ได้ใช้ชิปประมวลผล A12Z Bionic มีดีไซน์ Fusion แบบ 8 คอร์ ซึ่งมีคอร์ประมวลผลการทำงาน 4 คอร์เพื่อคอยรับมือกับงานที่ต้องใช้การคำนวณอย่างหนัก และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์ เพื่อรับมือกับงานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งการใช้งานทั่วไปใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเลย ส่วนด้านกราฟิกก็มี GPU แบบ 8 คอร์ที่ออกแบบโดย Apple เวิร์กโฟลว์ที่ปรับแต่งมาสำหรับ Metal ทำให้การประมวลผลกราฟิกได้เป็นอย่างดี และเป็นครั้งแรกที่ใช้ GPU แบบ 8 คอร์อีกด้วย ทำให้ A12Z Bionic มีประสิทธิภาพเร็วกว่า A10X Fusion ถึง 2.6 เท่า และยังเร็วกว่า A12X Bionic อีกด้วย จากการที่ลองนำมาเล่นเกมก็ทำได้อย่างลื่นไหลและแสดงผลกราฟิกได้ในระดับสูง
นอกจากนี้ Neural Engine ที่อยู่ในชิป A12Z Bionic ยังถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้การทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายรูป, วิดีโอ, การประมวลผลต่างๆ ที่ สามารถทำงานได้สูงสุดถึง 5 ล้านล้านรายการต่อวินาที ทำให้การประมวลผลต่างๆ ก็ทำได้เร็วขึ้นนั่นเอง และ iPad Pro รุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับดีไซน์ที่ควบคุมความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ตัวเครื่องไม่ร้อนเวลาการใช้งานหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อวิดีโอ 4K หรือการออกแบบโมเดล 3D หรือแม้แต่การใช้งาน AR ก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วไม่แพ้แล็ปท็อปส่วนใหญ่ในตลาดตอนนี้
ด้านการเชื่อมต่อ ก็รองรับ Wi-Fi 6 มาตรฐานใหม่ล่าสุด สองย่านความถี่พร้อมกัน (2.4GHz และ 5GHz), HT80 พร้อม MIMO และรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 ในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ทำได้ดี สามารถใช้งานได้ยาวนาน หากไม่ได้เล่นเกมหรือใช้งานให้หน้าจอติดตลอดนานๆ สามารถใช้งานได้เกิน 1 วันสบายๆ เลย ภายในชุดจัดจำหน่ายก็มีให้อะแดปเตอร์สำหรับชาร์จ 18W มาให้
iPadOS คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์
iPadOS 13.4 ได้มีการเพิ่มการรองรับการใช้งานกับเมาส์และแทร็คแพด เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่เต็มรูปแบบมากขึ้น และมีการออกแบบเคอร์เซอร์แบบใหม่ ทั้งนี้เมื่อเชื่อมต่อกับเม้าส์หรือแทรคแพดจะมีการแสดงเคอร์เซอร์ที่แตกต่างกันในแต่ละจุด โดยปกติจะเป็นแบบวงกลม แต่เมื่อนำไปชี้บนปุ่มต่างๆ ก็จะแสดงผลที่ต่างออกไป และถ้าใครที่มี Magic Mouse, Magic Trackpad อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้งานแทนการสัมผัสหน้าจอได้ และถ้าหากต้องการคีย์บอร์ดไว้ใช้งาน ก็สามารถเลือกซื้อ Smart Keyboard Folio มาใช้งานเป็นเคสและแป้นพิมพ์ร่วมกับ Magic Mouse หรือ Magic Trackpad ได้ หรือจะเลือกเป็น Magic Keyboard ที่ทาง Apple เปิดตัวออกมาพร้อมกับ iPad Pro รุ่นใหม่ก็ได้
ซึ่งการใช้งานแป้นคีย์บอร์ดร่วมกับ Magic Trackpad นั้นทำให้การใช้งานเหมือนกับคอมพิวเตอร์เลย เพราะสามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ผ่านแป้นคีย์บอร์ดได้ทันที แต่การเปลี่ยนภาษายังทำได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว และไม่ต้องเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าจอบ่อยๆ เนื่องจากเราสามารถสั่งงานได้จาก Magic Trackpad เลย และหากใครที่เคยใช้บน MacBook ก็จะถนัดกับการใช้งานในรูปแบบนี้ได้เป็นอย่างดี โดยการสั่งงานผ่าน Trackpad มีดังนี้
- ไปยังหน้าจอโฮม: ปัดขึ้นด้วยสามนิ้ว
- แถบสลับแอพ: ปัดขึ้นด้วยสามนิ้วและหยุดค้าง
- สลับแอพ: ปัดไปด้านขวาด้วยสามนิ้ว
- คลิกขวา: คลิกด้วยสองนิ้ว
- Dock: เลื่อนเคอร์เซอร์ไปที่ด้านล่างของหน้าจอและผลักขึ้น
- ศูนย์ควบคุม: คลิกบนแถบสถานะที่มุมบนขวา
- การแจ้งเตือน: คลิกบนแถบสถานะที่มุมบนซ้าย
นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ Slide Over, Split View เพื่อเปิดใช้งานสองแอปพลิเคชันพร้อมๆ กัน และฟีเจอร์อื่นๆของ iPadOS ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
จด วาด เขียน ด้วย Apple Pencil รุ่นที่ 2
นอกจากหน้าจอที่แสดงผลได้คมชัดมากๆ แล้ว ยังรองรับการใช้งานการจด วาด เขียน กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ด้วย ซึ่งมีความแม่นยำที่ลึกไปถึงระดับพิกเซล ความไวต่อแรงกดและการเอียง รวมถึงรองรับการวางมือบนหน้าจอทำให้การใช้งานกับ Apple Pencil ทำได้อย่างสะดวกและลื่นไหล อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้ปากกาหรือดินสอวาดจริงๆ และในหลายๆ แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมาก็ทำได้สมจริงมากๆ
Apple Pencil รุ่นที่ 2 ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับ iPad Pro ซึ่งออกมาในปี 2018 ที่มีการใส่แถบแม่เหล็กสำหรับยึดติดกับ iPad Pro ที่ด้านข้างตัวเครื่อง พร้อมกับชาร์จไร้สายไปในตัว และยังรองรับการเคาะสองครั้งที่ตัวปากกาเพื่อสลับโหมดเป็นยางลบได้ทันทีโดยไม่ต้องไปแตะที่หน้าจอเพื่อเปลี่ยนรูปแบบปากกา
สรุป iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
แน่นอนว่า iPad Pro ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าจอที่ดี ประสิทธิภาพที่เร็วและแรง รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil เพื่อวาดและเขียนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และใน iPad Pro รุ่นปี 2020 รุ่นใหม่นี้ก็ได้มีการเพิ่มด้านกล้องที่ถ่ายรูปได้คมชัดและมีเลนส์มุมกว้างแล้ว และยังใส่ LiDAR Scanner เข้ามาเพื่อเทคโนโลยี AR ที่สมจริงมากขึ้น และ iPadOS ที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องการทำงานที่ทดแทนคอมพิวเตอร์ได้มากขึ้น ใครที่กำลังมองหาแท็บเล็ตที่ใช้งานได้แบบครอบคลุมทุกด้าน ประสิทธิภาพสูงๆ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว ก็ถือว่าตอบโจทย์เลย และยังมีหลายรุ่นความจุให้เลือกอีก แต่ถ้าหากมองว่าหน้าจอ 12.9 นิ้ว มีขนาดใหญ่ไป ก็มีรุ่นหน้าจอ 11 นิ้วให้เลือกด้วย ส่วนถ้าใครอยากได้ไปใช้งานได้แบบทุกที่ แนะนำเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular
ใช้ทำงานดีไหม? ทดแทนคอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า?
ส่วนตัวผู้ทดสอบมองว่าเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard หรือ Smart Keyboard Folio + Magic mouse หรือ Magic Trackpad แล้ว สามารถทดแทนคอมพิวเตอร์ได้ในระดับนึงแต่ก็ไม่ทั้งหมด แต่จะต้องเป็นผู้ที่ทำงานในรูปแบบผ่านหน้าเว็บไซต์ เช่น Content Editor ที่พิมพ์งานหรืออัพโหลดรูป, ทำงานเกี่ยวกับงานเอกสาร Microsoft Office, iWork, Google Docs หรือนำมาตัดต่องานวิดีโอ, วาดรูปภาพ เพราะบางโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่มีแอปทดแทนใน iPad แต่ก็เชื่อได้ว่าบางอาชีพใช้ iPad Pro ก็สามารถทำงานได้เพียงพอแล้ว
iPad Pro รุ่นใหม่ วางจำหน่ายแล้วเฉพาะรุ่น Wi-Fi มีสีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน กับ สีเทาสเปซเกรย์ ความจุเริ่มต้น 128GB สูงสุดที่ 1TB ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และ 34,900 บาท สำหรับรุ่น 12.9 นิ้ว สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ apple.com
จุดเด่น
- หน้าจอใหญ่คมชัด แสดงผลสีสีนได้สมจริง
- ตัวเครื่องบาง
- กล้องหลังคู่ คุณภาพเทียบเท่า iPhone 11
- LiDAR Scanner เทคโนโลยีใหม่ วัดระยะได้แม่นยำขึ้นกว่าเดิม
- iPadOS ใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริม Magic Trackpad และคีย์บอร์ดเพื่อการทำงานที่คล้ายคอมพิวเตอร์มากขึ้น
- แบตเตอรี่อึด
จุดสังเกต
- ราคาค่อนข้างสูง เหมาะกับคนที่นำมาใช้งานเพื่อประสิทธิภาพระดับสูง
จบไปแล้วสำหรับรีวิว สำหรับใครที่อยากติดตามรีวิว, บทความ, ทิป เทคนิค การใช้งานต่างๆ และข่าวสารใหม่ ๆ ก็สามารถกดไลค์ เพจ WhatPhone.net หรือเข้ามาพูดคุยกันได้ที่ WhatPhone – Commu ได้เลย