ในปีนี้ถือว่า iPhone เข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราค่อนข้างเร็ว น่าจะถูกใจแฟนๆ Apple ที่ไม่ต้องรอนานเหมือนปีก่อนๆ และสำหรับคราวนี้ทีมงานเราได้ทั้ง iPhone 13 mini และ iPhone 13 Pro Max มาทดสอบพร้อมกัน โดยทีมงานจะรีวิว iPhone 13 Pro Max เป็นหลัก ส่วน iPhone 13 mini เราจะพรีวิวให้ได้ชมกันสั้นๆ ส่วนใครที่อยากดูพรีวิว iPhone 13 Series คลิกที่นี่ได้เลย เอาล่ะ เรามาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองเล่น iPhone 13 Pro Max พ่วงด้วย iPhone 13 mini
หลังจากที่ iPhone 12 รุ่นก่อน ได้ยกเลิกการให้อแดปเตอร์ภายในกล่อง ส่งผลให้กล่องมีขนาดเล็กลง ขนส่งได้ครั้งละมากๆ พร้อมทั้งช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปด้วย มาคราวนี้กล่องของ iPhone 13 ได้ยกเลิกการห่อด้วยพลาสติกใส ซึ่งจะช่วยลดขยะที่เป็นพลาสติกไปได้อีก 600 ล้านตัน โดยเปลี่ยนมาใช้สติ๊กเกอร์ปิดกล่องแบบใหม่ โดยปิดที่ขอบกล่องด้านใน 2 จุด หากสติ๊กเกอร์ยังไม่ถูกฉีกออกก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นเครื่องใหม่แกะกล่องแน่นอน และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- iPhone 13 ProMax สีกราไฟต์
- สาย Lightning to USB-C
- เอกสาร คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- สติ๊กเกอร์ 1 แผ่น
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องนั้นจะมีเพียงสายชาร์จมาให้เพียงชิ้นเดียว โดยเป็นสายแบบ Lightning to USB-C โดยผู้ใช้จะต้องหาซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม แต่หากเปลี่ยนจาก iPhone 12 มาใช้รุ่นนี้ เชื่อว่าผู้ใช้น่าจะต้องมีอแดปเตอร์อยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม หรือหากต้องการซื้อเพิ่มก็แนะนำให้ซื้ออุปกรณ์เสริมแท้จาก Apple ราคา 690 บาท หรือซื้ออุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน หากซื้ออุปกรณ์ราคาถูกอาจะมีปัญหากับ iPhone 13 ภายหลังได้
แกะกล่อง iPhone 13 mini
หลังจากแกะกล่องรุ่นใหญ่แล้ว มาแกะกล่องรุ่นเล็กกัน สำหรับกล่องของ iPhone 13 mini ก็มีขนาดเล็กกะทัดรัดตามขนาดของตัวเครื่อง มีขนาดบางเช่นเดียวกันกับ iPhone 13 รุ่นอื่นๆ ที่ไม่ได้มีอแดปเตอร์ และหูฟังมาให้ อีกทั้งยังไม่มีพลาสติกใสหุ้มกล่อง มีเพียงแถบสติ๊กเกอร์ติดที่หลังกล่อง เมื่อต้องการแกะกล่องก็เพียงแค่ฉีกตามแถบลูกศรทั้ง 2 จุดก็สามารถแกะกล่องได้ทันที ส่วนอุปกรณ์ในกล่องก็มีมาให้เหมือนกับ iPhone 13 ProMax
เปรียบเทียบขนาด iPhone 13 ProMax และ iPhone 13 mini
ดีไซน์เหมือนเดิม แต่ติ่งบนหน้าจอแคบลง
หากดูแบบเผินๆ ภายนอกของ iPhone 13 Pro Max สีกราไฟต์แทบจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ด้วยดีไซน์ และขนาดที่เหมือนกัน แต่หากพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ารอยบากบนหน้าจอมีขนาดที่เล็กลง และที่ด้านหลังเครื่องมีกล้องที่ขนาดใหญ่ขึ้น จึงไม่สามารถนำเคสของรุ่นก่อนมาใช้ได้ ทั้งที่ขนาดเท่ากัน แต่หากต้องการให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่อย่างชัดเจน แนะนำให้เลือกสีเซียร์ร่าบลู ซึ่งเป็นโทนสีฟ้าอ่อนสวยงามมาก สำหรับขอบด้านข้างของตัวเครื่องยังคงเป็นขอบเหลี่ยม ยังจับได้ถนัดมือเช่นเคย
หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ของ 6.7 นิ้วของ iPhone 13 Pro Max ยังคงใช้วัสดุเป็นกระจก Ceramic Shield ซึ่งเป็นกระจกแบบกันรอยแบบใหม่ที่ทาง Apple นำมาใช้กับ iPhone 12 เป็นรุ่นแรก จนมาถึง iPhone 13 รุ่นนี้ จอแสดงผลเป็นแบบ Super Retina XDR ความละเอียดถึง 1284 x 2778 พิกเซล และยังปรับ Refresh rate จากเดิม 60 Hz มาเป็น 120 Hz มาพร้อมรอยบากที่เล็กลง ทำให้แสดงผลได้เต็มตามากยิ่งขึ้น โดยรอยบากนี้ยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงเซ็นเซอร์ FaceID ที่ใช้ปลดล็อคการใช้งานเช่นเคย
เลนส์รับภาพกล้องดิจิตอลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตก็อาจจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่าง ส่งผลให้ไม่สามารถใช้เคสร่วมกับรุ่นก่อนได้ โมดูลกล้องนี้ยังมีทั้งไฟแฟลชแบบ LED และ LiDAR Scanner ที่จะเข้ามาช่วยในการวัดระยะ ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอทำได้สมจริงมากยิ่งขึ้น และยังใช้วัดระยะได้อย่างแม่นยำอีกด้วย สำหรับวัสดุด้านหลังนี้ยังคงใช้กระจกแบบด้าน ช่วยลดรอยนิ้วมือจากการสัมผัสได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ด้านหลังยังมี MagSafe ที่รองรับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ชาร์จแบบไร้สาย เคส หรือกระเป๋าสตางค์ที่รองรับ MagSafe
ด้านข้างซ้ายมีสวิตซ์ปรับเปิดปิดระบบสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงสนทนา และช่องใส่ถาดซิมการ์ด ซึ่งเป็นแบบ 1 ช่อง หากต้องการใช้งานซิมการ์ดใบที่สอง ต้องติดต่อผู้ให้บริการเพื่อขอเปิดใช้งาน eSIM ที่มีอยู่ในเครื่อง ส่วนด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดเครื่อง ซึ่งหากต้องการปิดเครื่องต้องกดปุ่มนี้ พร้อมกับปุ่มปรับเสียงขึ้นพร้อมกันจึงจะปิดเครื่องได้
สำหรับด้านบนไม่มีปุ่มกดใดๆ ส่วนด้านล่างมีช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา พอร์ต Lightning และลำโพงของตัวเครื่อง
และสำหรับ iPhone 13 mini กับขนาดที่เล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก ประสิทธิภาพการทำงานไม่ต่างจากรุ่นใหญ่ เรียกได้ว่าเป็น iPhone 13 ที่ย่อส่วนลงมาเหลือขนาดเล็กที่สุด เหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่ชอบพกสมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ๆ อีกทั้งยังมีราคาไม่แพงจนเกินไป สีสันให้เลือกมากมาย ถือเป็นสมาร์ทโฟนขนาดเล็กพริกขี้หนูที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้
จอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาด 5.3 นิ้ว ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดเล็กที่หาได้ยากในท้องตลาดตอนนี้ กระจกด้านหน้าใช้วัสดุเป็น Ceramic Shield เหมือนรุ่นใหญ่ ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีในระดับหนึ่ง จอภาพเป็นแบบ Super Retina XDR ความละเอียดถึง 1080 x 2340 พิกเซล เหนือจอแสดงผลมีรอยบากที่มีขนาดแคบลง เป็นที่อยู่ของลำโพงสำหรับสนทนา เซ็นเซอร์ FaceID และเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมอยู่ในบริเวณนี้ทั้งหมด
ด้านหลังเป็นกระจกแบบเงา เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสีมิดไนท์สีใหม่ล่าสุด โทนของสีมิดไนท์เป็นสีน้ำเงินเข้มจนดูเกือบจะเป็นสีดำ หากอยู่กลางแจ้งก็จะเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้ม เมื่อเข้าในที่ร่มก็จะเห็นเป็นสีออกดำดูสวยงามไปอีกแบบ ส่วนกล้องนั้นดีไซน์ใหม่ จากเดิมที่วางเรียงกันตรงๆ มาถึงรุ่นนี้วางเรียงแบบเฉียง ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
ด้านข้างซ้ายมีสวิตซ์เลื่อนเปิดปิดระบบเสียงเป็นระบบสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบช่องเดียว ส่วนด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดเครื่อง หากต้องการปิดเครื่องต้องกดปุ่มนี้พร้อมกับปุ่มปรับลด หรือเพิ่มระดับเสียงพร้อมกัน 2 วินาทีจึงจะปิดได้
ที่ด้านบนของตัวเครื่องดีไซน์โล่งๆ ส่วนที่ด้านล่างของเครื่องมีช่องไมโครโฟน ช่องเสียบสาย Lightning และช่องสปีกเกอร์โฟน ให้เสียงแบบสเตอริโอเมื่อทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่เหนือจอแสดงผล
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR พร้อม ProMotion ที่ลื่นกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR Display ที่นอกจากจะมีความละเอียดสูงแล้ว ยังเพิ่มฟีเจอร์ ProMotion เข้ามา เป็นการแสดงผลด้วยอัตรารีเฟรชเรทสูงสุด 120 Hz ทำให้การปัดเลื่อนเมนูต่างๆ ดูเนียนตามากยิ่งขึ้น และเมื่อหน้าจอไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวช้าก็จะปรับลดลงเหลือต่ำสุดถึง 10 Hz ตามคอนเทนท์ที่แสดงผล ซึ่งจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ จอแสดงผลยังรองรับ Dolby Vision และ HDR10 ที่เข้ามาช่วยให้สีสันสมจริงเมื่อชมภาพยนตร์ที่รองรับ HDR อย่างการชมจาก Apple TV+ หรือแอพฯ อื่นๆ ที่รองรับ นอกจากนี้หน้าจอแสดงผลยังให้ความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต ทำให้มองเห็นกลางแจ้งได้ชัดเจนขึ้น
อัพเกรดภายในด้วยชิพเซ็ตใหม่ A15 Bionic และหน่วยความจำถึง 1 TB
ทั้ง iPhone 13 mini และ iPhone 13 Pro Max ใช้หน่วยประมวลผลชิพเซ็ตใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A15 Bionic ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร มีแกนประมวลผลทั้งหมด 6 Cores โดยแบ่งแกนประมวลผลเป็น 4 แกนที่ทำงานแบบประหยัดพลังงาน และอีก 2 Cores ที่เข้ามาเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนหน่วยประมวลผลภาพ 3D หรือ GPU ก็อัพเกรดจากชิพรุ่นก่อนจาก 4 Cores เป็น 5 Cores เพื่อรองรับการเล่นเกม หรือประมวลผลภาพ 3D ให้ลื่นไหลกว่าเดิม นอกจากนี้ในด้านการทำงานของ AI ก็มี Neural Engine มาให้ถึง 16 Cores ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการทำงานในการประมวลผลภาพ และวิดีโอ, การเรียนรู้ของระบบ AI, การแปลงข้อความเป็นเสียงคำพูดของ Siri เป็นต้น
สำหรับหน่วยความจำ RAM ของ iPhone 13 mini จะมีมาให้ 4 GB ส่วน iPhone 13 Pro Max มีมาให้ 6 GB ส่วนหน่วยความจำ ROM สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งสองรุ่นมีให้เลือกตั้งแต่ 128, 256, 512 GB แต่ iPhone 13 Pro Max มีให้เลือกมากถึง 1 TB เลยทีเดียว เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเก็บข้อมูลมากๆ อย่างเช่นคลิปวิดีโอ หรือถ่ายภาพความละเอียดสูงอย่าง ProRAW เป็นต้น
ในการทดสอบประสิทธิภาพความเร็วของ iPhone 13 Pro Max หน่วยประมวลผล Apple A15 Bonic โดยการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ผลปรากฎว่า Single-Core ทำคะแนนได้ 1719 คะแนน และ Multi-Core ทำคะแนนได้ 4789 คะแนน และสำหรับแอพฯ Antutu Benchmark ทำความเร็วได้ถึง 619,768 คะแนนเลยทีเดียว ถือว่าทำควาเร็วได้สูงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ
และสำหรับการทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำ ทั้งสมาร์ทโฟน Android และ iOS ก็สามารถปรับความละเอียดของภาพไปได้ที่ระดับ Ultra HD ซึ่งถือเป็นความละเอียดระดับสูงสุด และสามารถปรับเฟรมเรทไปได้ที่ระดับ Ultra เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเล่นเกม เพราะสามารถรองรับเกมที่มีภาพกราฟฟิคหนักๆ ได้อย่างสบายๆ
กล้องระดับโปรบน iPhone 13 Pro Max
ดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับว่า iPhone 13 Pro Max จะยังคงเหมือนเดิม แต่ภายในอัพเกรดใหม่หมด โมดูลของกล้องถ่ายภาพมีขนาดใหญ่ขึ้น และยังคงมี LiDAR สแกนเนอร์ที่เข้ามาช่วยวัดระยะในการถ่ายภาพให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเลนส์ Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ที่ให้ภาพดูน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นอีกด้วย สำหรับสเป็คกล้องของ iPhone 13 ProMax มีดังนี้
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.5
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 มุมกว้าง 120 องศา
- กล้องเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.8 ออฟติคอลซูม 3 เท่า
ระยะในการถ่ายภาพของเลนส์ต่างๆ นอกจากจะมีเลนส์ Wide, Ultra wide และเลนส์ Telephoto แล้ว ยังสามารถถ่าย Macro ได้ในระยะใกล้สุดถึง 2 ซม. จึงทำให้กล้องของรุ่นนี้ถ่ายได้ทุกระยะตั้งแต่ใกล้ไปจนถึงไกล โดยสามารถซูมภาพแบบดิจิตอลได้ไกลสูงสุดถึง 15 เท่า และสำหรับการถ่ายภาพในระยะปกติด้วยกล้องเลนส์ Wide ก็มีรูรับแสงกว้างถึง f/1.5 จึงทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนฟีเจอร์การถ่ายภาพอย่าง Deep Fusion และ Apple ProRAW ก็ยังคงมีมาให้ใช้งาน เหมาะกับช่างภาพมืออาชีพที่สามารถนำไฟล์ภาพไปใช้งานได้ทันที
สำหรับการทดสอบถ่ายภาพนั้นถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนพอสมควร โดยเฉพาะการถ่ายภาพ Portrait ที่สมจริง ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนขึ้นกว่าเดิม เป็นผลมาจากทั้งหน่วยประวลผล LiDAR Scanner และอัลกอริทึมการแต่งภาพที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่่นอกจากจะถ่ายภาพเซลฟี่แล้ว ยังสามารถนำมาใช้งาน Facetime หรือประชุมออนไลน์ต่างๆ ได้ด้วย
ในด้านการถ่ายวิดีโอของ iPhone 13 ProMax ก็ยกระดับไปสู่การถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ที่สามารถนำไฟล์วิดีโอไปใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ในระดับมืออาชีพได้เลย เพราะไฟล์วิดีโอที่ถ่ายออกมาจะมีคุณภาพสูง แต่ก็จะทำให้ขนาดไฟล์มีขนาดใหญ่มากตามไปด้วย และการถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจอีกโหมดคือ Cinematic ที่ทำให้การถ่ายวิดีโอเหมือนกับการถ่ายในระดับมืออาชีพ สามารถเลือกจุดโฟกัสได้ตามต้องการ อีกทั้งยังสามารถนำวิดีโอที่ถ่ายแล้วมาแก้ไขโดยเลือกจุดโฟกัสภายหลังได้ตามต้องการอีกด้วย ถือเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้
แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น ใช้ได้นานขึ้น ชาร์จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับ iPhone 13 ProMax มีแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อน โดยมีความจุด 4352 mAh ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็สามารถใช้งานได้อยาวนานมากยิ่งขึ้น มาพร้อมระบบชาร์จเร็วสูงสุดถึง 27 วัตต์ ซึ่งหากต้องการชาร์จให้เร็วขึ้นก็จะต้องซื้ออแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ในระดับนี้ จากการทดสอบใช้อแดปเตอร์ที่สามารถจ่ายไฟได้ 27 วัตต์โดยชาร์จจากแบตเตอรี่ 2% ผ่านไป 35 นาที แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 50% และเต็ม 100% ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชม. ถือว่าชาร์จเร็วได้น่าประทับใจ
ส่วนการชาร์จแบบไร้สายก็รองรับอุปกรณ์ MagSafe กำลังไฟ 15 วัตต์ ที่ช่วยให้การชาร์จแบบไร้สายทำได้ง่าย และสะดวกขึ้นด้วยแม่เหล็กที่จะดูดตัวเครื่องให้ตรงกับตำแหน่งชาร์จ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ตรงตำแหน่งชาร์จแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีระบบถนอมแบตเตอรี่โดยอาศัยระบบ AI ในการเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานประจำวัน โดยระบบจะหยุดชาร์จที่ระดับ 80% และจะคำนวนเวลาชาร์จให้เต็ม 100% เมื่อถึงเวลาที่ผู้ใช้หยิบไปใช้งาน ซึ่งจะช่วยถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
บทสรุป รีวิว iPhone 13 Pro Max จากความเห็นของ What Phone
อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Minor Change จาก iPhone 12 เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ iPhone 13 ที่เพียงแค่สลับตำแหน่งกล้องเป็นแนวเฉียงเท่านั้น และสำหรับ iPhone 13 Pro Max ก็มีขนาดกล้องใหญ่ขึ้น เครื่องหนาขึ้น หน้าจอมีรอยบากที่เล็กลง แต่ภายในถือว่ามีการปรับเปลี่ยนพัฒนาให้เร็วขึ้น แรงขึ้น โดยเฉพาะความความลื่นในการใช้งานด้วยหน่วยประมวลผลที่แรงขึ้น หน้าจอแสดงผลได้สมูทขึ้น และสำหรับการถ่ายภาพก็พัฒนาให้ถ่ายภาพ และวิดีโอได้ดีขึ้น มีฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอที่เหมาะสำหรับมืออาชีพ พร้อมมีรุ่นขนาดหน่วยความจำสูงสุดถึง 1 TB เหมาะกับสายวิดีโอคอนเทนท์ที่เก็บไฟล์ได้อย่างจุใจ มาถึงตรงนี้ผู้ใข้ iPhone 12 อาจจะลังเลว่าควรจะเปลี่ยนมาเป็น iPhone 13 ดีไหม จากความเห็นของ What Phone อาจจะยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมากนัก เพราะหลายๆ ส่วนยังคงเหมือนเดิม แต่หากต้องการเปลี่ยนจาก iPhone 11 หรือรุ่นที่ต่ำกว่า และยังคงพอใจกับการใช้งานในระบบปฏิบัติการ iOS และ Ecosystem ของ Apple ก็ขอแนะนำให้เปลี่ยนได้เลย เพราะจะได้ทั้งความเร็วกว่า และฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ได้ใช้งานมากกว่า
สเป็ค iPhone 13 mini
- ขนาด 64.2 x 131.5 x 7.65 มม. น้ำหนัก 141 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR display ขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 2 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide 12 ล้านพิกเซล
- กล้องเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล 2X Optical Zoom
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที
- หน่วยประมวลผล Apple A15 Bionic
- หน่วยความจำมีให้เลือก 128, 256, 512 GB
- ระบบปฏิบัติการ iOS 15
- มีให้เลือก 4 สี Product RED, Starlight (สีขาว), Midnight (สีน้ำเงินเข้ม), Blue (น้ำเงิน) และ Pink (ชมพู)
- ราคา
- รุ่น 128 GB ราคา 25,900 บาท
- รุ่น 256 GB ราคา 29,900 บาท
- รุ่น 512 GB ราคา 37,900 บาท
สเป็ค iPhone 13 ProMax
- ขนาด 71.5 x 146.7 x 7.65 มม. น้ำหนัก 204 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR display ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซล 120 Hz
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide 12 ล้านพิกเซล
- กล้องเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล
- กล้องเลนส์ Telephoto+Marcro 12 ล้านพิกเซล 6X Optical Zoom
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที
- หน่วยประมวลผล Apple A15 Bionic
- หน่วยความจำมีให้เลือก 128, 256, 512 GB และ 1 TB
- ระบบปฏิบัติการ iOS 15
- มีให้เลือก 4 สี Product RED, Starlight (สีขาว), Midnight (สีน้ำเงินเข้ม), Blue (น้ำเงิน) และ Pink (ชมพู)
- ราคา
- รุ่น 128 GB ราคา 42,900 บาท
- รุ่น 256 GB ราคา 46,900 บาท
- รุ่น 512 GB ราคา 54,900 บาท
- รุ่น 1 TB ราคา 62,900 บาท