เผลอแป๊บเดียว OPPO ก็พัฒนาสมาร์ทโฟน Reno Series มาถึงรุ่นที่ 8 แล้ว และในคราวนี้ทีมงานได้ OPPO Reno8 Z 5G มาทดสอบพร้อมกับสีใหม่อย่าง Dawnlight Gold จะมีอะไรอัพเกรดขึ้นมาบ้าง เรามาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองเล่น OPPO Reno8 Z 5G
อุปกรณ์ในกล่อง
- OPPO Reno8 Z 5G สี Dawnlight Gold
- สายชาร์จแบบ USB-C
- อแดปเตอร์ SUPERVOOC 33 วัตต์
- เคสแบบใส
- ฟิล์มกันรอย (ติดมาจากโรงงาน)
- เอกสารคู่มือการใช้งาน, คู่มือความปลอดภัย
อุปกรณ์ในกล่องถือว่ามีมาให้เกือบจะครบ และยังคงแถมอแดปเตอร์ชาร์จเร็ว SUPERVOOC 33 วัตต์มาให้ จะขาดก็แต่เพียงหูฟังเท่านั้น แต่ก็หาซื้อได้ง่าย และ OPPO ก็มีหูฟัง True Wireless ให้เลือกหลายรุ่น ส่วนใครที่มีหูฟังที่ใช้แจ็คมาตรฐาน 3.5 มม. ก็สามารถเสียบใช้งานได้ทันที นอกนั้นก็มีทั้งเคสใส และฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงานมาให้ ไม่ต้องไปร้านหาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม
OPPO Reno8 Z 5G หรูหราพรีเมี่ยมด้วยสี Dawnlight Gold
ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเล็กสุดของ Reno8 Series ดีไซน์ของ Reno8 Z 5G มาพร้อมสีใหม่อย่าง Dawnlight Gold ที่มีความพรีเมี่ยมเกินตัว คราวนี้ทาง OPPO เลือกใช้ฝาหลังแบบกระจก Anti-Glare ไม่ติดรอยนิ้วมือง่ายๆ จึงไม่ต้องเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ ฝาหลังของสีนี้ยังไล่ระดับเฉดสีรุ้งอย่างสวยงาม และเมื่อมองใกล้ๆ ก็จะพบกับ Glitter สะท้อนแสงระยิบระยับดูสวยงาม ยกระดับความหรูหราขึ้นไปอีกขั้น
จอแสดงผลขนาดกำลังพอดีขนาด 6.43 นิ้ว ใช้จอภาพแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสวยงามสมจริง มีความละเอียดระดับ FHD+ หรือ 1080 x 2400 พิกเซล มีกล้องแบบเจาะรูซ่อนอยู่ที่มุมบนซ้าย ไม่เกะกะสายตา ส่วนล่างของหน้าจอมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังที่ใต้หน้าจอ สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว
ด้านหลังสี Dawnlight Gold ที่ดูสวยงามน่าใช้งาน ส่วนของโมดูลกล้องราบเรียบไปกับตัวเครื่อง แต่นี้จะใช้ความเงาเป็นกรอบของเลนส์ทั้ง 3 ตัวเลนส์ของกล้องจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการใส่เคสที่แถมมาให้ในเครื่อง และบริเวณขอบเลนส์ทั้ง 2 ที่ทาง OPPO เรียกว่า Dual Orbit Lights ยังมีไฟสีฟ้าบอกสถานะต่างๆ ของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จ, สายเรียกเข้า, การแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะกระพริบแจ้งเตือนหากเครื่องวางคว่ำอยู่
ขอบด้านข้างออกแบบมาเป็น Ultra Slim Retro Design มีความบางเพียง 7.66 มม. ถาดซิมการ์ดของรุ่นนี้อยู่ที่ด้านข้างซ้าย มีมาให้ 2 ช่อง นั่นก็คือ SIM1 และในช่องที่ 2 ต้องเลือกว่าจะใส่ SIM2 หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD สามารถถอดออกมาได้โดยใช้เข็มจิ้มถาดซิมการ์ดที่มีมาให้ ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างบางเพียง 7.74 มม. เท่านั้น และส่วนด้านขวามีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่องเท่านั้น
ที่ด้านบนออกแบบมาแบบโล่งๆ มีเพียงช่องไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนที่ด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา, ช่องเสียบสาย USB-C และช่องลำโพงสปีกเกอร์โฟน
The Portrait Expert ถ่ายภาพคนได้สวยเป็นธรรมชาติ
ในด้านการถ่ายภาพก็มีกล้องความละเอียดสูงมาให้ถึง 64 ล้านพิกเซล สามารถเลือกถ่ายภาพที่ต้องการความคมชัดสูงได้ แต่หากถ่ายภาพตามปกติ กล้องจะทำการปรับความละเอียดลงเหลือ 16 ล้านพิกเซล เพื่อไม่ให้ไฟล์ภาพมีขนาดจนเกินไป อีกทั้งยังเป็นการรวมเอา 4 พิกเซลรวมเป็น 1 พิกเซลเพื่อให้รับแสงได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ได้เต็มประสิทธิภาพ กล้องถ่ายภาพแบบ 3 เลนส์ พร้อมระบบ AI ที่จะเข้ามาช่วยปรับสีสันของภาพให้สวยงามให้เหมาะกับวัตถุที่จะถ่าย กล้องเลนส์หลักมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และยังมาพร้อมเลนส์ Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ และเลนส์ Depth ที่จะเข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ Portrait ช่วยละลายพื้นหลังได้อย่างสวยงาม สำหรับสเป็คกล้องทั้งด้านหน้า และด้านหลังของรุ่นนี้มีเลนส์อะไรให้เราได้ใช้บ้าง มาดูกันเลย
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.7 มุมกว้าง 79 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
สำหรับการถ่ายภาพ Portrait ของรุ่นนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถถ่ายภาพคนให้สวย ดูโดดเด่นด้วยการเบลอฉากหลังอย่างแนบเนียน พร้อม Bokeh Flare Portrait ให้พื้นหลังเป็นดวงไฟได้เสมือนถ่ายด้วยกล้อง DSLR พร้อมทั้ง AI Portrait Retouching ช่วยปรับแต่งโทนสีผิว และปรับแต่งใบหน้าให้เนียนสวย แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างภาพถ่าย
ในการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Pro, Pano, Macro, Slo-mo, Time-Lapse, Dual-View Video, Sticker, Text Scannerและในโหมดการถ่ายคลิปวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
แรง ประหยัดพลังงานด้วยชิพเซ็ต Snapdragon™ 695 5G Mobile Platform
ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 695 5G Mobile Platform ของรุ่นนี้มีความเร็วรองรับการใช้งานทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดูหนังฟังเพลง หรือเล่นเกมแบบ 3D ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ทำงานด้วยแกนประมวลผลแบบ Octa-core ทำงานที่ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมระบบระบายความร้อน 6 ชั้น หน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB สามารถเลือกเพิ่มได้อีก 2, 3 สูงสุด 5 GB รวมเป็น 13 GB เลยทีเดียว รองรับการเปิดแอพฯ พร้อมกันได้หลายแอพฯ ส่วนพื้นที่หน่วยความจำขนาดใหญ่ถึง 128 GB สามารถเพิ่มหน่วยความจำแบบ microSD ได้อีกในช่องใส่ SIM2 เก็บภาพ วิดีโอ หรือไฟล์งานต่างๆ ได้อย่างจุใจ
ระบบการทำงานของ Reno8 Z 5G ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 12 ครอบทับด้วย ColorOS 12.1 พร้อมรองรับการอัพเดทในอนาคต สามารถใช้งาน Google Service และแอพพลิเคชั่นต่างๆ บน Google Play Store ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแอพฯ โซเชียล, แอพฯ แชทสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล ส่วนการเล่นเกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียด HD และสามารถปรับ Frame rate ได้ในระดับ High
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.4.3 สามารถทำคะแนนได้ค่อนข้างดีอยู่ที่ 394,043
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็ทำคะแนน Single core ได้ 691, Multi-core ทำได้ 1967 และสำหรับคะแนน Compute ทำได้ 1385 คะแนน โดยจากการทดสอบประสิทธิภาพความแรงของหน่วยประมวลผลถือว่าทำคะแนนได้ในดีพอควร รองรับการใช้งานทั่วไป หากจะเล่นเกม 3D หนักๆ ก็ยังไหว
ปลดล็อคตัวเครื่องสะดวกด้วยลายนิ้วมือบนหน้าจอ และระบบสแกนใบหน้า
จอแสดงผลส่วนล่างจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ สามารถสแกนได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว พร้อมจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุดถึง 5 นิ้ว แต่หากไม่ถนัดที่จะปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือก็สามารถเลือกใช้ระบบสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคได้ แต่ก็มีจุดด้อยตรงที่ระบบจะสแกนใบหน้าในที่แสงน้อยไม่ได้ ซึ่งก็สามารถใช้สแกนลายนิ้วมือเป็นระบบสำรองได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ใช้ควรตั้งค่าความปลอดภัยทั้ง 2 ระบบไว้จะสะดวก และดีที่สุด
ชาร์จเร็วทันใจด้วย SUPERVOOC 33W
ตัวเครื่องมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4500 mAh มาพร้อมอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ SUPERVOOC กำลังไฟ 33 วัตต์ สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ จากการทดสอบชาร์จจาก 1% ใช้เวลา 10 นาทีสามารถชาร์จได้ถึง 23% และใช้เวลาเพียงชั่วโมงนิดๆ จึงจะเต็ม 100%
บทสรุปรีวิว OPPO Reno8 Z 5G ในความเห็นของ What Phone
ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับเริ่มต้นของตระกูล Reno8 Series ที่มีดีไซน์สวยงาม หรูหราไม่แพ้รุ่นใหญ่ อีกทั้งประสิทธิภาพการใช้งานที่รวดเร็วทันใจ ถ่ายภาพได้สวยงาม โดยเฉพาะการถ่าย Portrait ที่สมกับสโลแกนของเครื่อง “The Portrait Expert ถ่ายภาพคนได้สวยเป็นธรรมชาติ” แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเลนส์ Ultra-wide มาให้ถ่ายภาพมุมกว้าง ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 12,990 บาท กับประสิทธิภาพการทำงานที่ได้ ถือว่าทำได้น่าประทับใจเลยทีเดียว
สรุปสเป็ค OPPO Reno8 Z 5G
- ขนาด 159.9 x 73.2 x 7.66 มม. นัำหนัก 181 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE, 5G พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบแบบ Hybrid
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- แสดงผล Refresh rate 60 Hz
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 619
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 บนพื้นฐาน Android 12
- หน่วยความจำ RAM 8+5 GB, ROM 128 GB
- รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.7 มุมกว้าง 79 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- แบตเตอรี่ 4500 mAh ชาร์จเร็ว SuperVOOC 33 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi 802.11a/b/g/n/ac 2.4-5 GHz, Bluetooth 5.1, NFC
- มีวิทยุ FM ในตัว
- ราคาเปิดตัว 12,990 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
