หลังจากที่ realme 9 Series ได้เปิดตัวไปแล้วอย่าง realme 9i ไปก่อนหน้านี้ ถึงเวลาที่ realme จะเปิดเพิ่มอีก 2 รุ่นนั่นก็คือ realme 9 Pro 5G และ realme 9 Pro+ 5G ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของ realme 9 Series นี้ มาดูกันว่า 2 รุ่นนี้แตกต่างกันอย่างไร และประสิทธิภาพการทำงานเป็นอย่างไร มาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองเล่น realme 9 Pro 5G
กล่องของทั้งสองรุ่นมาในแนวดีไซน์สีเหลืองสดใส เหมาะกับคนรุ่นใหม่ตามคอนเซ็ปท์ของ realme โดยด้านหน้ากล่องของ realme 9 Pro 5G รุ่นนี้มีระบุชื่อรุ่นอย่างชัดเจน และที่ด้านหลังกล่องมีระบุสเป็คที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล Snapdragon 695 5G, หน้าจอแสดงผล 120 Hz, กล้องหลัง 64 ล้านพิกเซล และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000 mAh เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- realme 9 Pro 5G สี Sunrise blue
- อแดปเตอร์ DartCharge 33 วัตต์
- สายชาร์จแบบ USB-C
- เคสซิลิโคน
- ฟิล์มกันรอยหน้าจอ (ติดมาจากโรงงาน)
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งาน
ในกล่องก็มีอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นมาให้ จะขาดก็แต่เพียงหูฟังเท่านั้น ซึ่งก็หาซื้อได้ไม่ยาก และราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด โดยเฉพาะหูฟัง True Wireless ของ realme ก็มีราคาไม่แพงเพียงหลักร้อยเท่านั้น หรือจะซื้อแบบมีสายก็มีช่องเสียบ 3.5 มม. รุ่นนี้ก็ยังคงรองรับ ส่วนฟิล์มกันรอยก็ติดเครื่องมาให้อยู่แล้ว และยังมีเคสกันรอยมาให้ แกะกล่องออกมาก็พร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์อื่นๆ มาป้องกัน
จอแสดงผลขนาด 6.6 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ IPS ที่ให้สีสันสมจริง ความละเอียด FHD+ มีกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ที่มุมบนซ้าย แสดงผลด้วยอัตรารีเฟรชเรท 120 Hz หน้าจอมีฟิล์มกันรอยติดมาให้อยู่แล้วก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน
ที่ด้านหลังของรุ่นนี้เป็นสี Sunrise blue พร้อม Light Shift Design ซึ่งหากใช้งานในที่ร่มจะเห็นเป็นสีฟ้า และมีเกล็ดเล็กๆ เสมือนดวงดาวนับร้อยนับพัน โดยที่ตรงกลางจะเห็นเส้นแบ่งกลางเครื่องที่เหมือนเป็นร่องลงไป และเมื่อนำไปสะท้อนกับแสงแดดเราจะเห็นสีที่ซ่อนอยู่ นั่นก็คือสีส้ม ซึ่งจะเผยสีสันออกมาเมื่อเราอยู่กลางแจ้งเท่านั้น และหากพลิกเครื่องไปมาก็จะเห็นเป็น 2 สีดูสวยงามมากทีเดียว ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และสำหรับกล้องหลังของรุ่นนี้ก็มีมาให้ 3 เลนส์ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย มาพร้อมไฟแฟลชแบบ LED
ด้านข้างซ้ายมีช่องใส่ซิมการ์ดมาให้ 2 ช่อง สามารถใส่ซิมการ์ด 2 ใบ แต่หากต้องการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD จำเป็นต้องถอด SIM2 ออกก่อนจึงจะสามารถใส่เข้าไปได้ ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนที่ด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่อง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือไปด้วยในตัว
ที่ด้านบนจะเห็นเพียงช่องไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน ส่วนที่ด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียง, ช่องเสียบสาย USB-C และช่องลำโพงสปีกเกอร์
แกะกล่องลองเล่น realme 9 Pro+ 5G
ดีไซน์ของกล่อง realme 9 Pro+ 5G รุ่นนี้ดูเหมือนกับรุ่น Pro จนแทบจะแยกกันไม่ออก จะต่างกันที่ตรงมีสัญลักษณ์ + เพิ่มเข้ามา ส่วนที่หลังกล่องก็มีบอกจุดเด่นของรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766, หน่วยประมวลผล Dimensity 920 5G, ชาร์จเร็วด้วย DartCharge 90 วัตต์ และจอแสดงผล AMOLED 90 Hz ส่วนอุปกรณ์ก็เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า มีดังนี้
- realme 9 Pro+ 5G สี Aurora Green
- อแดปเตอร์ SuperDart 60 วัตต์
- สายชาร์จแบบ USB-C
- เคสซิลิโคน
- ฟิล์มกันรอยหน้าจอ (ติดมาจากโรงงาน)
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งาน
ภายในกล่องรุ่น Pro+ ต่างจากรุ่น Pro ตรงที่มีอแดปเตอร์ SuperDart ขนาดใหญ่กว่า และชาร์จเร็วกว่าที่ 60 วัตต์ นอกนั้นอุปกรณ์ก็มีมาให้เหมือนกัน จะขาดก็เพียงหูฟังเท่านั้นเอง
จอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ แสดงผลด้วยอัตรารีเฟรช 90 Hz ที่มุมบนซ้ายมีกล้องหน้าแบบเจาะรู ไม่บดบังสายตาขณะใช้งาน ส่วนจอแสดงผลรุ่นนี้เป็นจอภาพแบบ Super AMOLED ให้สีสันจัดจ้าน สวยงาม ส่วนบนของหน้าจอยังมีลำโพงสนทนาที่ทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่ด้านล่าง ให้เสียงแบบสเตอริโอแยกซ้ายขวาอย่างชัดเจน ส่วนล่างของจอแสดงผลมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังไว้ใต้จอแสดงผล อีกทั้งยังเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นรุ่นแรกที่วางจำหน่ายในไทยด้วย นอกจากนี้วัสดุที่นำมาใช้ยังเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 มีความแข็งแรง ทนต่อรอยขีดข่วน และยังมีฟิล์มกันรอยที่ติดมาจากโรงงานป้องกันอีกชั้นหนึ่งด้วย
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Aurora Green ด้านหลังดีไซน์คล้ายกับรุ่น Pro แต่เป็นสีเขียวไล่ระดับเป็นสีดำ ตรงกลางดีไซน์แบ่งกลางเห็นเป็นมิติ อีกทั้งยังมีละอองเกล็ดๆ สะท้อนแสงดั่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน และสำหรับโมดูกล้องก็มีมาให้ทั้งหมด 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลชแบบ LED ส่วนนี้จะนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยเคสที่แถมมาให้ในกล่อง
ด้านข้างซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบ 2 ช่อง สามารถใส่ได้เพียง SIM1 และ SIM2 เท่านั้น ไม่สามารถเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกได้ ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนที่ด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่อง
ที่ด้านบนมีช่องไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างก็มีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงเป็นรูขนาดเล็ก, พอร์ต USB-C และสุดท้ายกับช่องลำโพงสปีกเกอร์โฟน
realme 9 Pro+ พลัสกับฟีเจอร์ที่เหนือกว่า
ในการเปิดตัวครั้งนี้ realme 9 Pro Series เปิดตัวมาพร้อมกัน 2 รุ่น โดยแต่ละรุ่นก็มีจุดที่ต่างกันไป โดยเฉพาะรุ่น Pro+ ที่เพิ่มฟีเจอร์เด่นๆ เข้ามาอย่างเช่นจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ที่ให้สีสันสวยงาม สมจริงกว่า กล้องหลังที่ใช้เซ็นเซอร์กล้องจากสมาร์ทโฟนระดับ Flagship อย่าง Sony IMX766 แต่มาอยู่ในสมาร์ทโฟนระดับกลางที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ
ส่วนจุดเด่นถัดมาที่ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้จอแสดงผล ถือว่าล้ำมากๆ โดยการใช้งานเพียงเข้าไปที่เมนู realme Lab แล้วเลือกวัดอัตราการเต้นของหัวใจ จากนั้นวางนิ้วมือลงบนหน้าจอ 15 วินาทีเพื่อวัดผล ซึ่งสามารถวัดได้ตลอดเวลาตามต้องการ อีกทั้งยังมีระบบจัดเก็บประวัติการวัดครั้งก่อนหน้าไว้ด้วย
ในการใช้งานของ realme 9 Pro+ ยังมีระบบสั่นที่เรียกว่า Tactile Engine ซึ่งเป็นระบบสั่นที่ขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ X Axis Linear Motor ทำให้การใช้งานในรูปแบบต่างๆ มีระบบสั่นที่เสมือนจริง โดยเฉพาะการเล่นเกมเสมือนเป็นเอฟเฟ็คท์ขณะก้าวเดิน การชน หรือการยิงปืน อีกทั้งยังมีลำโพงแบบสเตอริโอพร้อมระบบเสียง Dolby Dual Stereo ที่ทำให้การเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลงมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้รุ่น Pro+ ยังชาร์จเร็วด้วย SuperDart 60 วัตต์ และระบบระบายความร้อนด้วย Vapor Chamber Cooling System ที่ทำให้การเล่นเกมนานๆ ไม่เกิดความร้อนสะสมด้วย
ประสิทธิภาพการทำงาน และการเล่นเกม
ในด้านประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งสองรุ่นมีประสิทธิภาพความแรงใกล้เคียงกัน โดยรุ่น Pro+ จะใช้หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 900 5G แบบ Octa-core ความเร็ว 2.5 GHz สถาปัตยกรรม 6 นาโมเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่น Pro เล็กน้อย ส่วนรุ่น 9 Pro ใช้ชิพประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz สถานปัตยกรรมการผลิต 6 นาโนเมตรเช่นกัน ทั้งสองรุ่นที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นหน่วยความจำ RAM 8 GB, ROM 128 GB สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้ แต่ในรุ่น Pro+ จะมีให้เลือกรุ่นเป็นรุ่นหน่วยความจำ 256 GB แต่จะไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังสามารถเพิ่ม RAM ได้อีก 2, 3 หรือ 5 GB รวมเป็น 13 GB โดยสามารถดึงหน่วยความจำจาก ROM มาจำลองเป็น RAM ได้ ทำให้ผู้ใช้เปิดแอพฯ หรือเกมพร้อมกันได้หลายแอพฯ โดยที่ระบบไม่จำเป็นต้องโหลดใหม่ให้เสียเวลา
ระบบปฏิบัติการของทั้งสองรุ่นใช้ realme UI 3.0 บนพื้นฐานแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 12 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด พร้อมรองรับการอัพเดทความปลอดภัยต่างๆ ในอนาคต สามารถกดอัพเดทได้ทันทีที่
มาดูผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu Benchmark เวอร์ชั่น 9.3.1 ซึ่งเป็นแอพฯ ที่เราใช้ทดสอบประสิทธิภาพเป็นประจำ ในรุ่น realme 9 Pro+ สามารถทำคะแนนได้ถึง 495,441 คะแนน ส่วนแอพฯ Geekbench 5 สามารถทำคะแนน Single-core ได้ 814 คะแนน และ Multi-core ทำได้ 2,314 คะแนน
และในรุ่น realme 9 Pro สามารถทำคะแนน Antutu Benchmark ได้ 405,772 คะแนน ส่วนแอพฯ Geekbench 5 ทำคะแนน Single-core ได้ 691 คะแนน Multi-core ทำได้ 1,998 คะแนน
จะเห็นว่าทั้งสองรุ่นทำคะแนนได้ต่างกันเล็กน้อย และในการทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำ ในรุ่น Pro+ สามารถปรับความละเอียดได้สูงกว่า ซึ่งก็สอดคล้องกับการทดสอบประสิทธิภาพความแรงของหน่วยประมวลผล อีกทั้งรุ่น Pro+ ยังมีระบบระบายความร้อนด้วย Vapor Chamber Cooling System ซึ่งเป็นระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้ความร้อนสะสมในตัวเครื่อง และนอกจากนี้ในรุ่น Pro+ ยังมี Touch Sampling ถึง 360 Hz ในขณะที่รุ่น Pro อยู่ที่ 240 Hz ทำให้รุ่น Pro+ ตอบสนองการสั่งงานที่รวดเร็วกว่า
การตั้งค่าความละเอียดเกมของ realme 9 Pro
การตั้งค่าความละเอียดเกมของ realme 9 Pro+
Sony IMX766 เซ็นเซอร์ภาพจากกล้องระดับ Flagship บน realme 9 Pro+
ในด้านการถ่ายภาพ realme 9 Pro กล้องหลังมีความละเอียดกล้องมาให้สูงถึง 64 ล้านพิกเซล แต่สำหรับรุ่น Pro+ นั้นมีความละเอียดมาให้ 50 ล้านพิกเซล แต่สำหรับรุ่นนี้ใช้เซ็นเซอร์จากกล้องสมาร์ทโฟนระดับ Flagship โดยใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่ได้รับความนิยมในเรื่องของภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูง ส่วนสเป็คกล้องของทั้งสองรุ่นมีดังนี้
realme 9 Pro
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.05
realme 9 Pro+
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ระบบกันสั่น OIS
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
สำหรับการถ่ายภาพด้วยกล้องเลนส์หลักทั้งสองรุ่นที่มีความละเอียด 64 และ 50 ล้านพิกเซล หากถ่ายภาพในโหมดปกติ กล้องจะทำการปรับความละเอียดในการถ่ายไว้ที่ 16 และ 12.5 ล้านพิกเซลตามลำดับ แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์เต็มพื้นที่โดยการนำเอา 4 พิกเซล รวมเป็น 1 พิกเซล เพื่อให้การรวมแสง และรวมสีสันให้ได้มากที่สุด ทำให้ภาพสว่าง สีสันสวยงามกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้ไฟล์รูปภาพมีขนาดเล็กลง ไม่เปลืองพื้นที่หน่วยความจำ แต่หากต้องการปรับความละเอียดไปที่สูงสุดที่ 64 หรือ 50 ล้านพิกเซลก็ทำได้ในโหมดความละเอียดสูงสุด เหมาะกับการนำภาพไปขยายเป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ
จุดเด่นของการถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นนี้จะมีโหมด Street ที่ทำให้การถ่ายภาพแบบเปิดหน้าชัตเตอร์นานๆ ได้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น โดยจะมี 4 โหมดให้เลือก ในโหมด Neon Trail, Light trail portrait จะเห็นไฟเป็นเส้นสายสวยงาม เหมาะกับการถ่ายภาพที่มีแสงไฟวิ่ง อย่างเช่นบนท้องถนนตอนกลางคืน ในโหมด Rush hour เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการหยุดวัตถุ หรือบุคคลที่ต้องการไว้ แล้วให้สิ่งที่อยู่รอบข้างเคลื่อนที่ และสุดท้าย Light painting เป็นเหมือนการวาดภาพด้วยแสง อาจจะเป็นไฟฉาย หรือไฟเย็น เมื่อกดถ่ายแล้วก็สามารถวาดภาพ หรือเขียนตัวอักษรที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกเปิดชัตเตอร์ค้างไว้ได้นานตามต้องการ ซึ่งเหมาะกับการถ่ายดวงดาว หรือในสถานที่มืดมากๆ แนะนำให้ใช้ขาตั้งกล้องด้วย
สำหรับลูกเล่นในการถ่ายภาพ ทั้งสองรุ่นก็มีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพแบบพื้นฐานมาให้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ Night, Pro, Pano, Ultra Macro, Time-lapse, Slow-mo เป็นต้น ส่วนการถ่ายวิดีโอในรุ่น Pro+ จะสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30 เฟรมต่อวินาที หรือ FullHD 60 เฟรมต่อวินาที ส่วนในรุ่น Pro จะถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 30 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น
SuperDart ชาร์จเร็ว 60 วัตต์ ปลอดภัย ทันใจในรุ่น Pro+
ทั้งสองรุ่นมีแบตเตอรี่ความจุต่างกัน โดย realme 9 Pro มีแบตเตอรี่มาให้มากที่สุดถึง 5000 mAh สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน โดยภายในกล่องมีอแดปเตอร์ DartCharge กำลังไฟ 33 วัตต์ โดยจากการทดสอบชาร์จจากแบตเตอรี่เหลือ 1% เพียง 10 นาทีก็ได้แบตมาถึง 20%, ชาร์จ 32 นาที ได้แบตเตอรี่มา 52% และหากชาร์จจนถึง 99% ก็ใช้เวลาประมาณ 77 นาที หรือชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง ซึ่งแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 2-3 วันเลยทีเดียว
ส่วน realme 9 Pro+ จะมีแบตเตอรี่น้อยกว่าที่ 4500 mAh แต่ก็ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า บางกว่า และยังมาพร้อมอแดปเตอร์ SuperDart กำลังไฟถึง 60 วัตต์ที่สามารถชาร์จได้เร็วมาก โดยจากการทดสอบชาร์จจากแบตเตอรี่เหลือ 1% ชาร์จเพียง 10 นาทีก็ได้แบตมาถึง 33% และเมื่อชาร์จต่ออีกไป 30 นาที แบตเตอรี่ก็ขึ้นไปถึง 80% เลยทีเดียว ถือว่าเร็วมากๆ และเต็ม 100% ในเวลาเพียง 46 นาทีเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รุ่นจะชาร์จเร็วในช่วงแบตเตอรี่ต่ำๆ และเมื่อแบตเตอรี่ใกล้เต็มระบบก็จะชาร์จช้าลงเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ร้อนจนเกินไป ซึ่งระบบ DartCharge และ SuperDart จะมีประโยชน์ในสถานะการณ์ที่แบตเตอรี่ใกล้หมด หรือลืมชาร์จก่อนออกไปเรียน หรือออกไปทำงานในช่วงเช้า เพียงแค่ชาร์จระหว่างอาบน้ำก็ได้พลังงานเพียงพอสำหรับใช้งานในแต่ละวันแล้ว
บทสรุปรีวิว realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ จากความเห็นของ What Phone
มาถึงบทสรุปของ realme 9 Pro Series ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะรุ่น Pro+ ที่มีฟีเจอร์การใช้งานที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผลที่มีสีสันสวยงามกว่า ประสิทธิภาพของ CPU และการเล่นเกมที่เหนือกว่า ตัวเครื่องกะทัดรัดกว่า บางกว่า กล้องเซ็นเซอร์ดีกว่า และสามารถชาร์จได้เร็วกว่า โดยที่ราคาเปิดตัวก็จะแพงกว่าเล็กน้อยที่ 12,999 บาท ส่วนรุ่น Pro ในราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 8,999 บาท โดยมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า หน้าจอใหญ่กว่าเล็กน้อย ถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคากว่า เหมาะกับผู้ใช้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่ก็สามารถซื้อสมาร์ทโฟนที่ประสิทธิภาพเกินราคาได้อย่างสบายกระเป๋า
ราคารอบพิเศษ Early bird เฉพาะผู้ที่สั่งซื้อผ่านช่องทาง JD Central เท่านั้น เหลือเพียง 12,499 บาท ตั้งแต่วันที่ 3 -11 มีนาคมนี้
โปรโมชันพิเศษ สำหรับผู้ที่สั่งจอง realme 9 Pro หรือ realme 9 Pro+ ที่ realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 – 11 มีนาคมนี้ จะได้รับของสมนาคุณ รวมทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 6,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.เซ็ท realmeow Special Gift 2.realme smart scale 3. ประกันหน้าจอแตกตลอด 1 ปี และ 4. ผ่อน 0% นาน 6 เดือน รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.realme.com/
สรุปสเป็ค realme 9 Pro
- ขนาด 164.3 x 75.6 x 8.5 มม. นัำหนัก 195 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE, 5G
- หน้าจอ IPS FHD+ ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด 2412 x 1080 พิกเซล
- แสดงผล Refresh rate 120 Hz, Touch Sampling rate 240 Hz
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz, Adreno 619 GPU
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 3.0 บนพื้นฐาน Android 12
- หน่วยความจำ RAM 6/8 GB (Dynamic RAM+5 GB), ROM 128 GB
- เพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด FullHD 1080p 30 เฟรมต่อวินาที ,HD 720p 60 เฟรมต่อวินาที
- กล้องหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.05
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ DartCharge 33 วัตต์
- รองรับ Wi-Fi 5 (IEEE802.11 a/b/g/n/ac), Bluetooth 5.1
- มีให้เลือก 2 สี Sunrise Blue และ Aurora Green
- ราคาเปิดตัวมี 2 รุ่น
- รุ่นหน่วยความจำ 6+128 GB 8,999 บาท
- รุ่นหน่วยความจำ 8+128 GB 9,999 บาท
สรุปสเป็ค realme 9 Pro+
- ขนาด 160.2 x 73.3 x 7.99 มม. นัำหนัก 182 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE, 5G
- หน้าจอ FHD+ ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล
- แสดงผล Refresh rate 90 Hz, Touch Sampling rate 360 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 920 Octa-core ความเร็ว 2.5, Mali G68 MC4 GPU
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 3.0 บนพื้นฐาน Android 12
- หน่วยความจำ RAM 8 GB (Dynamic RAM+5 GB), ROM 256 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ระบบกันสั่น OIS
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 30 เฟรมต่อวินาที, Full HD 1080p 60 เฟรมต่อวินาที
- กล้องหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
- แบตเตอรี่ 4500 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ SuperDart 60 วัตต์
- ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ รองรับระบบเสียง Dolby ATMOS
- รองรับ Wi-Fi 6 (IEEE802.11 a/b/g/n/ac/ax), Bluetooth 5.2
- มีให้เลือก 2 สี Sunrise Blue และ Aurora Green
- ราคาเปิดตัวหน่วยความจำ 8+256 GB 12,999 บาท