รีวิว Redmi Note 12 Pro+ ที่เป็นหนึ่งใน Redmi Note 12 Series ทั้งหมด 4 รุ่นที่เข้ามาทำตลาดในไทยปีนี้ และสำหรับรุ่น Pro+ รุ่นนี้ก็เป็นรุ่นท็อปสุดของ Series ที่รวมเอาที่สุดของหลายๆ อย่างมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้อง หน่วยประมวลผล การชาร์จเร็ว มาแกะกล่องดูกันเลยว่ารุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
แกะกล่องลองเล่น Redmi Note 12 Pro+
กล่องของ Redmi ยังคงมาในแนวสีขาวสะอาดตา มีรูปโทรศัพท์สีเดียวกันกับที่อยู่ในกล่อง และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับสมาร์ทโฟนพร้อมคุณสมบัติที่สกรีนอยู่บนพลาสติกปิดเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นกล้องความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่น OIS, ระบบชาร์จเร็ว HyperCharge 120 วัตต์ หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED 120 Hz และชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1080 ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในกล่องมีดังนี้
- Redmi Note 12 Pro+ สี Polar White
- อแดปเตอร์ Smart 120W HyperCharge
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-A to USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- ฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน
- คู่มือการใช้งาน+ใบรับประกัน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
เหมือนกับ Xiaomi และ Redmi รุ่นอื่นๆ ที่ในกล่องจะไม่มีหูฟังมาให้ แต่ในกล่องก็มีอุปกรณ์มาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเคส ฟิล์มกันรอยที่ติดมาพร้อมจากโรงงาน อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟ 120 วัตต์ก็มีมาให้ครบ แกะกล่องออกมาก็สามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์กันรอยเพิ่มเติม
Redmi Note 12 Pro+ สี Polar White สีขาวเรียบหรู สะอาดตา
เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะเห็นสมาร์ทโฟนที่ใช้สีขาวสะอาดตาแบบนี้มานานแล้ว และสำหรับ Redmi Note 12 Pro+ รุ่นนี้ก็มีความเรียบหรูดูพรีเมี่ยม ดูสะอาดตากับสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูโดดเด่นกว่าใคร พื้นผิวของฝาหลังสีขาวถึงแม้ว่าจะเป็นแบบเงา แต่ก็ไม่สะท้อนคราบลายนิ้วมือที่ติดอยู่บนพื้นผิวเหมือนกับสีอื่นๆ จึงดูขาวบริสุทธิ์ตลอดเวลา นอกจากนี้สี Polar White จะมีเฉพาะในรุ่น Pro และ Pro+ เท่านั้น
จอแสดงผลด้านหน้าแบบ AMOLED ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ Flow AMOLED แสดงผล 1 พันล้านสี พร้อมอัตรารีเฟรชเรท 120 Hz รองรับ Dolby Vision และ HDR10+ เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบ DotDisplay แล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่างที่ถูกซ่อนไว้บริเวณนี้ทั้งหมด
ที่ด้านหลังสีขาว Polar White ถูกออกแบบมาอย่างเรียบๆ จะมีเพียงโมดูลกล้องเท่านั้นที่ดูโดดเด่นด้วยเลนส์กล้องขนาดใหญ่ และนูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย หากกลัวว่าจะเป็นรอยก็สามารถใส่เคสใสที่มีมาให้ในกล่องได้โดยที่ไม่บดบังความสวยงามของตัวเครื่อง
ที่ด้านข้างซ้ายถูกดีไซน์มาแบบโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ อยู่ด้านนี้ มีความบางเพียง 8.98 มม. ส่วนที่ด้านข้างขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปด้วยในตัว ซึ่งปุ่มนี้จะนูนขึ้นมารับกับนิ้วมือเล็กน้อย ทำให้สแกนนิ้วได้อย่างสะดวก
ที่ด้านบนไล่จากทางด้านซ้ายจะเห็นพอร์ตอินฟราเรด หรือ IR Blaster สำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยใช้ร่วมกับแอพฯ Mi Remote ที่มาพร้อมกับเครื่อง ถัดมามีช่องเล็กๆ เป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ถัดมาเป็นลำโพงแบบสเตอริโอที่ทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง สุดท้ายกับช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. หากมีหูฟังคู่โปรดก็สามารถนำมาใช้งานได้
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องไล่จากด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด 2 ซิม เป็นแบบประกบด้านบน และด้านล่าง ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และลำโพงสปีกเกอร์โฟน เมื่อวางในแนวนอนฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ก็จะให้มิติเสียงแยกซ้ายขวาได้อย่างชัดเจน
กล้องความละเอียดระดับ 200 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่น OIS
ที่สุดของกล้องถ่ายภาพใน Redmi Note 12 Series กับความละเอียดของเซ็นเซอร์ถึง 200 ล้านพิกเซล ที่มีเซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/1.4 นิ้ว ประกอบด้วยเลนส์ที่มากถึง 7 ชิ้นเลนส์ และระบบกันสั่น OIS และยังมาพร้อมเลนส์ Ultra-wide และเลนส์ Macro สำหรับสเป็คกล้องหลัง 3 เลนส์ และกล้องหน้ามีรายละเอียดดังนี้
กล้องหลัง
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.65 ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว, 7 ชิ้นเลนส์
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
กล้องหน้า
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.5
ในการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Pro ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้เหมือนกับกล้องระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูรับแสง, การปรับระยะโฟกัส, การปรับเลือกค่าความไวแสง หรือค่า ISO เป็นต้น ส่วนโหมดอื่นๆ ก็มีให้เลือกทั้งโหมดถ่ายกลางคืน, พาโนรามา, เอกสาร, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure และโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.0 (เบลอมากสุด) ไปจนถึง f/16 (เบลอน้อยสุด) เลือกปรับความเนียนของใบหน้าได้ด้วยโหมด Beautify ได้ถึง 100 ระดับ ซึ่งเป็นโหมดที่สาวๆ ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
ในด้านการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30 เฟรมต่อวินาที หรือความละเอียด Full HD 1080p ก็สามารถถ่ายได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ซึ่งเป็นระบบกันสั่นในระดับ Hardware ที่ตัวเลนส์ นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นในการถ่ายวิดีโอ อย่าง VLOG ช่วยในการถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้สนุกยิ่งขึ้น เหมาะกับการถ่ายสนุกๆ อัพลง Story, Reel หรือ TikTok หรือแพลทฟอร์มวิดีโอสั้นอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
แรงด้วยหน่วยประมวลผลระดับ MediaTek Dimensity 1080 5G
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชิปประมวลผลที่เร็วสุด แรงสุด แต่หน่วยประมวลผลของรุ่นนี้ก็ไม่ธรรมดา ด้วยชิป MediaTek Dimensity 1080 รองรับเครือข่าย 5G สถาปัตยกรรมการผลิตขนาด 6 นาโนเมตร พร้อมด้วยแกนประมวลผลแบบ Octa-core ทำงานที่ความเร็ว 2.6 GHz และในเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB สามารถเพิ่มได้อีก 4 GB โดยอัตโนมัติโดยดึงหน่วยความจำจาก ROM รวมเป็น 12 GB สำหรับพื้นที่หน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ก็มีขนาดใหญ่ถึง 256 GB เป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.2 แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอก
ระบบปฏิบัติการ MIUI ของรุ่นนี้ได้อัพเกรดไปถึงเวอร์ชั่น 14 แล้ว โดยมีพื้นฐานการทำงานจาก Android เวอร์ชั่น 12 คาดว่าน่าจะได้รับการอัพเกรดไปจนถึง Android 13 เร็วๆ นี้ ส่วนการใช้งาน Google Mobile Service ก็ยังคงใช้บริการได้ 100% เช่นเดิม รองรับการอัพเดทต่างๆ ในอนาคต
สำหรับเกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ HDR และเลือกปรับเฟรมเรทได้ถึงระดับสูงสุด Ultra มีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล สามารถปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง, บันทึกหน้าจอขณะเล่นเกม และเปลี่ยนเสียงพูดของเราขณะเล่นเกมได้อีกด้วย นอกจากนี้ Redmi Note 12 Pro+ ยังมีพื้นที่ระบายความร้อน VC ที่ 3000 ตร.มม. ช่วยกระจายความร้อนออกจากหน่วยประมวลผล ทำให้เครื่องไม่ร้อนจนเกินไป
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.5.7 ทำคะแนนได้สูงสุด 442,656 คะแนน แต่เมื่อเปิดโหมด Game Turbo สามารถทำคะแนนได้ดีกว่าเล็กน้อยที่ 459,559 คะแนน
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 6 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 946 และ Multi-core ทำได้ 2336 คะแนน แต่เมื่อเปิดโหมด Game Turbo สามารถทำคะแนนได้ดีกว่าเล็กน้อย Single core ทำได้ 990 และ Multi core ทำได้ 2353 คะแนน
ชาร์จเร็วสุดในตระกูล Redmi ด้วย Hyper Charger 120W
ในขณะที่แบรนด์อื่นเริ่มติดอแดปเตอร์ออกจากกล่องแล้ว แต่ Redmi ยังคงมีอแดปเตอร์มาให้ในกล่อง และคราวนี้ก็ยังอัพเกรดขั้นสุดด้วยระบบ Hyper Charger 120 วัตต์ พร้อมเทคโนโลยี GaN ที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ มีความเร็ว ให้กำลังไฟในการชาร์จสูงสุดในตระกูล Redmi แต่ขนาด และน้ำหนักของอแดปเตอร์รุ่นนี้ค่อนข้างใหญ่ และหนักกว่าอแดปเตอร์ทั่วไปอยู่พอสมควร มีระบบควบคุมกำลังไฟด้วยชิปเซ็ต Xiaomi Surge P1 ที่ติดตั้งอยู่ในตัว พร้อมกับช่วยดูแลอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนาน
จากการทดสอบชาร์จแบตเตอรี่จาก 1% เพียงแค่ 10 นาทีก็สามารถชาร์จไปได้ถึง 42% และจะชาร์จเต็ม 100% เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที ถือว่าค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงถึง 5000 mAh
บทสรุปรีวิว Redmi Note 12 Pro+ ในความเห็นของ What Phone
ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนในเรทราคาระดับกลาง ที่เราทดลองใช้งานแล้วพบว่ามีประสิทธิภาพที่น่าประทับใจ ดีไซน์สวยงาม เรียบหรู ดูขาวสะอาดตา มีจอแสดงผลสีสันสวยงาม กราฟฟิคลื่นไหลด้วยการแสดงผลในระดับ 120 Hz ให้ความบันเทิงเต็มรูปแบบบนหน้าจอจอขนาดใหญ่ ให้เสียงแบบสเตอริโอ และที่เด็ดสุดคือระบบการชาร์จเร็ว Hyper Charging 120 W ซึ่งส่วนมากจะมีในสมาร์ทโฟนในระดับ Flagship เท่านั้น สำหรับราคาเปิดตัวอยู่ที่หมื่นกลางๆ เพียง 14,990 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็นรุ่นที่คุ้มค่ากับสมาร์ทโฟนในเรทราคานี้
สรุปสเป็ค Redmi Note 12 Pro+
- ขนาด 162.9 x 76 x 8.98 มม. น้ำหนัก 210.5 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบ
- หน้าจอ Flow AMOLED FHD+ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล แสดงผล 1 พันล้านสี
- จอแสดงผลรองรับ HDR10+ และ Dolby Vision, Refresh rate 120 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 1080 5G Octa-core ความเร็ว 2.6 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali-G68
- ระบบปฏิบัติการ Android 12, MIUI 14
- หน่วยความจำ RAM 8+4 GB LPDDR4X, ROM 256 GB UFS2.2
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.5
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.65 ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว, 7 ชิ้นเลนส์
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ HyperCharge 120 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi 6, Bluetooth 5.2, NFC
- ลำโพง 2 ตัว ระบบเสียงสเตอริโอ รองรับ Dolby Atmos
- มีให้เลือก 3 สี Polar White, Midnight Black และ Sky Blue
- ราคาเปิดตัว 14,990 บาท